ads head

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลยุทธ์ซื้อหุ้นปี 2556 ของ..บัฟเฟตต์

กลยุทธ์ซื้อหุ้นปี 2556 ของ..บัฟเฟตต์

สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ เฟสบุ๊ค
พบกัน ทุกวันเสาร์  และวันอาทิตย์ นะครับ
เพื่อให้สอดคล้องกับ หนังสือเรื่อง…
“25 เคล็ดลับการลงทุนของ..บัฟเฟตต์”
ที่จะเปิดตัวหนังสือในงาน “สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ”
วันนี้จึงขอเสนอตอน  “กลยุทธ์ซื้อหุ้นปี 2556 ของ..บัฟเฟตต์”

ที่มา http://www.doctorwe.com/variety/20121008/3394
วอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหากูรูนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก
จึงเป็นเหตุให้ไม่ว่าบัฟเฟตต์จะเคลื่อนไหวในการซื้อหรือขายทั้งหุ้นและกิจการ
ก็มักจะถูกจับตามองจากผู้คนทั่วโลก
ในปัจจุบันและปีหน้า 2556 หรือ 2013  บัฟเฟตต์ได้เริ่มส่งสัญญาณการเข้าซื้อหุ้นและกิจการ
ซึ่งพอจะจำแนกกลยุทธ์พร้อมทั้งเหตุผลได้ดังนี้ครับ


หนึ่ง เน้นการซื้อกิจการที่ใช้เงินลงทุนสูง
ทอดด์ โลเวนสไตน์ (Todd Lowenstein) ผู้จัดการกองทุนฯ ได้พูดถึงบัฟเฟตต์ว่า
“ปัญหาของบัฟเฟตต์ในขณะนี้..เป็นปัญหาที่พวกเราทุกคนอยากจะมี
นั่นก็คือ เขามีเงินมากเกินไป”


ปัจจุบันพบว่าบัฟเฟตต์สามารถสร้างกระแสเงินสดผ่านบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาทาเวย์
บริษัทของเขาสูงถึงเดือนละ 1 พันล้านดอลลาร์
และยังพบต่อไปอีกว่าเขามีเงินในมือกว่า 37.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล
อาจกล่าวได้ว่า “ถ้ามีโอกาสรออยู่ บัฟเฟตต์จะซื้อแต่กิจการที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ๆเท่านั้น
เพราะเขารู้ว่ากิจการที่มีการลงทุนขนาดเล็กจะไม่สามารถทำให้เบิร์กไชร์มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาได้”
 

สอง ธุรกิจแบบพื้นฐาน..ที่มั่นคง แต่อนาคตไกล 
บัฟเฟตต์ยังคงไม่ชอบลงทุนในธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี
โดยเฉพาะกลุ่ม App Economy ที่นำแถวโดย Apple, Google, Amazon เป็นต้น
ด้วยเหตุผลเดิมๆของบัฟเฟตต์ที่ว่า
“ผมไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจ ดังนั้นผมก็จะไม่ลงทุนซื้อหุ้น” 


บัฟเฟตต์ยังคงชื่นชอบในการลงทุนในอุตสาหกรรมพื้นฐาน
เช่น การเข้าซื้อกิจการรถไฟเบอร์ลิงตัน นอร์ธเทิน ซานตาเฟ
ซึ่งเข้าซื้อกิจการนี้ด้วยเงินสูงถึง 34 พันล้านดอลลาร์
บัฟเฟตต์ซื้อกิจการรถไฟเพราะ


เขามั่นใจว่า….  ในอนาคตอันใกล้นี้ราคาน้ำมันจะยิ่งมีราคาสูงขึ้น
และการขนส่งผ่านทางรถไฟจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ซึ่งจะทำให้สามารถปรับราคาขนส่งเพิ่มขึ้นได้
และจะนำมาซึ่งกำไรก้อนโตนั่นเอง 
 

สาม ผู้นำตลาด..ก็คงยังเป็น “ผู้นำตลาด” 
หากเพื่อนๆพอจำกันได้
หนึ่งในหุ้นที่บัฟเฟตต์ตั้งใจจะถือไว้โดยไม่ขายออกไปเลย นั่นก็คือ หุ้นโคคาโคลา
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจน้ำอัดลมสูงที่สุดในโลก
บัฟเฟตต์ยังคงให้ความสำคัญกับการเป็น “ผู้นำตลาด” ของบริษัทที่เขาคิดที่จะเข้าไปซื้อกิจการอยู่ดี 


ปีที่แล้ว บัฟเฟตต์ได้ซื้อบริษัท ลูบริซอล (Lubrizol) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดทางด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่น
ด้วยเงินสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนั้นเขายังสนใจที่จะซื้อบริษัท เฮงเกล (Henkel) ในประเทศเยอรมนี
ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์กาวและสารเคมี บริษัทยังเป็นเจ้าของกาวยี่ห้อ ล็อคไทล์ (Loctile)
ซึ่งขายดีเป็นอันดับหนึ่งของโลก


ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังกินส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก
ปัจจุบันยังพบต่อไปอีกว่า
เฮงเกลเป็นผู้ป้อนผลิตภัณฑ์กาวและสารเคมีให้กับบริษัท แอร์บัส
ซึ่งเป็นผู้สร้างเครื่องบินพาณิชย์รายใหญ่ของโลกอีกด้วย
 

สี่ บริษัทที่มี “แบรนด์” จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ดีกว่า 
บัฟเฟตต์ได้วางแผนเข้าไปซื้อกิจการบริษัท เดียร์ (Deere)
ผู้นำทางด้านเครื่องจักรการเกษตรของสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าสูงถึง 32.2 พันล้านดอลลาร์
แม้ว่าเดียร์จะมีมูลค่าการตลาดสูงมากถึงเพียงนั้น
บัฟเฟตต์ก็ยังคงชื่นชอบบริษัทที่มี “แบรนด์” อยู่ดี 


ปัจจุบันสินค้ายี่ห้อ “เดียร์” มีการพัฒนาทางด้านจักรกลการเกษตรอยู่ตลอดเวลา
และไม่ว่าเดียร์จะผลิตเครื่องจักรการเกษตรอะไรออกมาสู่ตลาดก็ตาม
ก็มักจะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี
นอกจากนั้นผลกำไรของเดียร์ก็น่าประทับใจมาก
โดยมีผลกำไรสูงถึง 33 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา 
 

ห้า  “ราคาสินค้าเกษตร” จะมีแต่..สูงขึ้น
ผมเคยเขียนถึงกูรูนักลงทุนที่ชื่อ จิม โรเจอร์ส ที่พูดถึง “ราคาสินค้าเกษตร”
(อ่านได้ใน http://www.doctorwe.com/posttoday/20120322/257 )
ไว้ว่า  ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า จะเกิดปัญหาการขาดแคลนเกษตรกรจำนวนมาก
ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ผลผลิตทางการเกษตรเกิดการขาดแคลนตามไปด้วย


โดยสาเหตุมาจากการที่คนหนุ่มสาวย้ายเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น
เพราะได้เงินพอๆกัน..แต่ทำงานสบายกว่า
และที่สำคัญคือได้มีโอกาสสังคมกับคนอื่นไปด้วย
เขายังเชื่อต่อไปว่า เมื่อไร..ที่ของขาด
เมื่อนั้น..ราคาสินค้าเกษตรก็จะต้องขึ้นอย่างแน่นอน


เช่นเดียวกัน บัฟเฟตต์ก็มีความเชื่อว่าในอนาคต..
ราคาสินค้าเกษตรจะต้องสูงขึ้นมากอย่างแน่นอน
โดยเขากล่าวว่า “อีก 100 ปีข้างหน้า
ผลผลิตทางการเกษตรจะมีราคาสูงกว่า..ทองคำ
 

ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ราคาสินค้าเกษตรในปี 2554 นั้น
มันสูงเป็น 6 เท่าของราคาสินค้าเกษตรเมื่อ 10 ปีก่อน”
เมื่อปีที่แล้ว  บริษัท เดียร์ ขายเครื่องจักรการเกษตรสูงถึง 24 พันล้านดอลลาร์
ซึ่งก็คาดกันว่าในปี 2563
ยอดขายของเดียร์จะสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น