ads head

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิกฤติเศรษฐกิจ 1929 (ตอนที่ 2): นโยบายทางการคลังที่ภาครัฐนิยมใช้

นโยบายทางการคลังที่ภาครัฐนิยมใช้


จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ คือนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญคนแรกที่เสนอให้รัฐบาลใช้อำนาจที่มีอยู่ในมืออย่าง เช่นมาตรการทางด้านภาษีและการใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐมาเป็นเครื่องมือ ที่ใช้สำหรับพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ให้กลับกลายดีขึ้น บทวิเคราะห์ของเคนส์เป็นไปอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมาว่าในช่วงที่เศรษฐกิจ เป็นขาลงนั้นความต้องการซื้อสินค้าและบริการนั้นได้ลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำ กว่าปริมาณสินค้า ผู้ประกอบการจึงต้องลดกำลังการผลิตลงส่งผลให้คนตกงานเพิ่มมากขึ้น 

วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเคนส์สรุปว่าวัฎจักรที่ กำลังดำเนินอยู่ในห้วงขณะเวลานั้นภาครัฐไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินไปตาม ยถากรรมได้เพราะวิกฤติจะลุกลามขยายวงกว้างขึ้น สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ และเมื่อสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ได้ดำเนินต่อไปจนถึงจุดๆหนึ่งเศรษฐกิจก็จะพังพินาศ 

ความกลัวที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นในจิตใจของผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะบีบคั้น บังคับจิตใจคนให้รัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่ายจนเกินเหตุไป ต่างคนต่างประหยัดเพราะรายได้มีแต่จะลดลงเรื่อยๆและบรรยากาศทางเศรษฐกิจอัน น่าสลดหดหู่ที่แผ่ปกคลุมไปทั่ว ดังนั้นจึงเกิดแรงงานส่วนเกินขึ้น โรงงานไร้ซึ่งการผลิต กำลังซื้อที่ลดลงก็ลดลงแล้ว ลดลงอีก สภาพการจ้างงาน การผลิต และราคาสินค้าที่ดำเนินไปนำไปสู่ภาวะเงินฝืดทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะงักงัน อย่างต่อเนื่องยาวนาน

เคนส์เชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ สามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง รัฐบาลจึงต้องเข้ามามีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น จากกำลังซื้อและกำลังการผลิตที่อ่อนแอทำให้เกิดผลผลิตส่วนเกินขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมามีเสถียรภาพและขยายตัวได้อีกครั้งรัฐบาลจำเป็นต้อง ขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศก่อนที่เศรษฐกิจจะต้อง เผชิญกับหายนะ และเมื่อช่วงเวลาอันเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้วรัฐบาลก็จะต้องกลับมาทำงบประมาณ ให้คืนสู่ภาวะสมดุลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 

ในความเป็นจริงนั้นเคนส์เองก็มีความเชื่อว่าหากรัฐบาลกลับมาใช้นโยบายการ เงิน-การคลังที่เข้มงวดอีกครั้งหนึ่งก่อนถึงเวลาอันควรก็เท่ากับว่ารัฐบาล กำลังบีบคั้นภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดีวันดีคืนให้สะดุด เกิดภาวะชะงักงันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

เคนส์นำเสนอแนวคิดของเขาเป็นครั้งแรกในปี 1936 โดยแนะนำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามคำแนะนำของเขา เริ่มจากฮูเวอร์ทดลองทำตามข้อเสนอของเคนส์และสิ้นสุดที่ New Deal ของรูสเวลท์ โครงการสาธารณะทั้งเล็กและใหญ่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนกลับมามีงาทำกันอีก ครั้งหนึ่ง ความต้องการสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง งานก่อสร้างจำนวนมากที่ดำเนินการในช่วงนั้นยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น คลองส่งน้ำยาว 24,000 ไมล์ สนามบิน 480 แห่ง สะพาน 78,000 สะพาน โรงพยาบาล 780 โรง ทางหลวง 572,000 ไมล์ โรงเรียนอีก 15,000 แห่ง ศาล และอื่นๆอีกมากมาย

ผล ที่เกิดขึ้นจากการนำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของเคนส์มาใช้นั้นราวกับเรื่องราว ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ใจ จากปี 1933 – 1937 ตัวเลขการว่างงานลดลงจากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 15 ปี 1937 เมื่อรัฐบาลตัดสินใจทำงบประมาณแบบสมดุลย์อีกครั้งหนึ่งเศรษฐกิจที่กำลังดี วันดีคืนก็กลับสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงอีกครั้ง รูสเวลท์จึงต้องกลับมาทำงบประมาณแบบขาดดุลกันต่อไป กลับมากระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน New Deal อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่อาจหลีก เลี่ยงได้ สหรัฐอเมริการอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของ the Great Depression อันยืดเยื้อยาวนานไปได้ เศรษฐกิจของสหรัฐกลับมาขยายตัวอีกครั้ง

เคนส์ กลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลในยุคหลังสงครามโลกขึ้นมาทันที ทฤษฎีของเคนส์ไม่เพียงแค่ได้กลายเป็นมาตรฐานการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของ ภาครัฐเมื่อเผชิญภาวะเศรษฐกิจขาลงเท่านั้น แต่ยังมีการนำทฤษฎีเคนส์มาใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างอ่อนแอเปราะบาง ด้วย ทศวรรษที่ 1970 เริ่มมีเสียงคัดค้านทฤษฎีเคนส์ แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นทศวรรษที่ 1990 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นแตก 

ทฤษฎีเคนส์ก็ถูกปัดฝุ่นนำกลับขึ้นมาใช้ใหม่ แล้วก็ยังคงได้ผลสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลญี่ปุ่นไม่เพียงแค่กำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนับสิบมาตรการเท่านั้น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังทุ่มเงินงบประมาณนับล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจด้วย ตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของญี่ปุ่นพุ่งทะยานทุบทำลายสถิติ 

เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจหลายอย่างของญี่ปุ่นก็ดีขึ้น แต่ก็มีอีกหลายมาตรการที่ไปแล้วเกิดความสูญเปล่า ภาคชนบทของญี่ปุ่นเองก็ถูกละเลยมองข้ามไป นักเศรษฐศาสตร์ยังคงถกเถียงกันเรื่องมาตรการอันเลวร้ายและประโยชน์ที่ ญี่ปุ่นได้รับจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนั้น หลายคนเชื่อว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากวิธีคิดของญี่ปุ่น แต่เกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในขั้นตอนการเลือกเฟ้นโครงการว่าจะดำเนิน โครงการอะไรบ้าง ตัวเงินจริงๆที่รัฐบาลญี่ปุ่นใส่ลงไปในระบบเศรษฐกิจนั้นก็มีน้อยมาก แล้วเม็ดเงินที่ถูกดึงกลับออกมาหลังจากดำเนินมาตรการไปไม่นานนั้นกลับมี มากกว่าเสียอีก

วิธีการแบบนี้นั้นเป็นเพียงแค่หนึ่ง ในหลายๆวิธีการในการใช้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือที่ผู้กำหนดนโยบายสามารถ ทำได้ นอกจากการใช้จ่ายโดยตรงเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อแล้วเครื่องมือทางการคลังที่ สามารถนำมาใช้ได้ยังมีเรื่องการลดภาษีและการคืนภาษีซึ่งเป็นทฤษฏีการส่ง เสริมให้ผู้บริโภคใช้จ่ายด้วยการใส่เม็ดเงินลงไปในมือประชาชนทำให้ประชาชนมี รายได้เพิ่มมากขึ้น หรือจะพูดว่าเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ยของภาคประชาชนก็ว่าได้ 

แต่วิธีการแบบนี้นั้นไม่ได้มีการนำมาใช้ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ ครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 ซึ่งฮูเวอร์ใช้การเพิ่มภาษีและรูสเวลท์ก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น การลดภาษีและการให้เครดิตสินเชื่อก็กลายมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับมาตรการทาง การคลังที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ หลากหลายเพิ่มมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเกิดการถดถอยและวิกฤติเศรษฐกิจในญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ใช้การลดภาษีเป็น่วนหนึ่งของแนวทางตอบสนองหลังเกิด วิกฤติเศรษฐกิจ

ทางเลือกที่ 3 สำหรับมาตรการทางด้านการคลังก็คือการจ่ายเงินโอน (transfer payment) คือรัฐบาลใส่เงินลงไปในมือกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ เช่น คนจนหรือคนตกงาน มลรัฐหรือรัฐบาลท้องถิ่นที่กำลังประสบปัญหา เงินโอนนี้เป็นอีกหนึ่งนโยบายการคลังที่สำคัญยุคหลังทศวรรษที่ 1930 นับแต่มีการนำ New Deal มาใช้ มีการใส่เงินลงไปเพื่อต่ออายุ ต่อลมหายใจให้กับบรรดากลุ่มเป้าหมาย วิธีการอย่างเช่น การลดภาษีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของ New Deal ที่มีการนำออกมาใช้รับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจและภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินโอนนั้นทำได้หลากหลายรูปบบไม่ว่าจะเป็นการให้เงินช่วยเหลือแก่คนตกงาน การจัดตั้งกองทุนสำหรับการฝึกอบรม พัฒนาทักษะ สร้างงาน สร้างอาชีพ

วิกฤติ เศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมากใน 3 มาตรการทางด้านการคลังที่ได้รับความนิยม เดือนมกราคม 2008 รัฐสภาสหรัฐอนุมัติกฎหมายมูลค่า 152 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการงดเว้นการจัดเก็บภาษีส่วนบุคคลและนิติบุคคล แล้วกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2008 (the Economic Stimulus Act of 2008) ก็ถูกบดบังด้วยกฎหมายเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการกลับมาลงทุนใหม่ ของอเมริกัน ปี 2009(the American Recovery and Reinvestment Act of 2009)ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 787 พันล้านดอลลาร์ กฎหมายทั้ง 2 ฉบับล้วนมุ่งไปยังเป้าหมายเดียวกันคือการดำเนินมาตรการทางการคลังด้วยการใช้ จ่ายเงินงบประมาณจำนวนมหาศาลของภาครัฐเพื่อให้เกิดกำลังซื้อสินค้าและบริการ และการใช้จ่ายโดยตรงในโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและโครงการด้าน พลังงาน วงเงินรวมสูงถึง 140 พันล้านดอลลาร์ ทั้งยังมีการใช้จ่ายในโครงการอื่นๆร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการเกี่ยวกับการประมงไปจนถึงการควบคุมระบบระบายน้ำเพื่อ ป้องกันน้ำท่วมโดยมีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์

กฎหมาย ที่ออกมายังรวมถึงงบพิเศษจำนวนมหาศาลสำหรับการให้เครดิตทางภาษีและโครงการ เงินโอน แท้จริงแล้วเครดิตทางภาษีนั้นกลับเป็นโครงสร้างส่วนใหญ่ของชุดมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจที่กำหนดขึ้นโดยระงับการเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลมูลค่า 237 พันล้านดอลลาร์ บางส่วนก็ถูกนำไปใช้สำหรับประชาชนบางกลุ่มอย่างเช่น การให้เครดิตทางภาษีแก่ผู้ซื้อบ้านหลังแรกและรถยนต์คันใหม่ที่เป็นแบบ fuel-efficient cars โดยมีเป้าหมายที่จำเพาะเจาะจงไปยังภาคส่วนทางเศรษฐกิจที่ต้องการเป็นการ เฉพาะ ส่วนสุดท้ายของกฎหมายก็คือการให้ความช่วยเหลือโดยตรงแก่คนว่างงาน ผู้สูงอายุ และประชาชนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ รวมทั้งเม็ดเงินนับพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแก่รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาล มลรัฐ

ประเทศต่างๆทั่วโลกก็นำนโยบายการคลังมาใช้ใน ลักษณะคล้ายๆกันแต่ให้น้ำหนักในการดำเนินโครงการที่น้อยกว่า แผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุโรปถูกนำมาใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2008 เม็ดเงินจำนวน 200 พันล้านยูโรถูกนำมาใช้กับสารพัดโครงการ แต่ละประเทศต่างก็ดำเนินการเช่นเดียวกันในขนาดที่เล็กกว่า ญี่ปุ่นก็เริ่มแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ภายใต้ความสับสนวุ่นวายทางการ เมือง รัฐบาลซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุดใช้เงินจำนวนมากไปกับการลด ภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐ จีนกลับทุ่มเทความพยายามที่มากกว่าด้วยวงเงินสูงถึง 586 พันล้านดอลลาร์ในโครงการสาธารณะเช่น ทางรถไฟ การชลประทาน และสนามบิน ขณะที่เม็ดเงินบางส่วนถูกนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูมณฑลเสฉวนหลังเกิดเหตุแผ่น ดินไหวครั้งใหญ่ ประเทศอื่นๆที่เล็กกว่าอย่างเกาหลีใต้และออสเตรเลียก็งัดมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจออกมาใช้เช่นเดียวกัน

การใช้นโยบายการคลัง เข้าแทรกแซงเศรษฐกิจนี้แน่นอนว่าช่วยสกัดยับยั้งภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำได้ แต่การแทรกแซงดังกล่าวก็ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง แรกสุดเลยคือต้องจดจำให้ขึ้นใจว่าการนำนโยบายการคลังออกมาใช้นั้นไม่ใช่ว่า จะทำได้แบบฟรีๆโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรใดๆทั้งสิ้น 

เมื่อรัฐบาลใช้จ่ายมากขึ้นขณะที่รายได้จากภาษีของภาครัฐกลับลดลงจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอยนั้นย่อมส่งผลให้ตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่สุดแล้วรัฐบาลก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากรัฐไม่ยอมจ่ายคืนหนี้ การขาดดุลงบประมาณก็จะขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปีๆ 

รัฐบาลก็ได้แต่ล่อลวงนักลงทุนกระเป๋าหนักเข้ามาซื้อหนี้ด้วยการเพิ่มอัตราผล ตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลให้สูงขึ้น ภาระหนี้ที่รัฐบาลจะต้องชำระจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งยังต้องแข่งขันกำหนดอัตราผลตอบแทนในตราสารหนี้แข่งกับผู้ออกตราสารหนี้ รายอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยจากการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อส่วนบุคคล หุ้นกู้ของธุรกิจเอกชน และดอกเบี้ยของลิสซิ่งต่างๆ ต้นทุนการกู้ยืมเงินของผู้ระดมทุนแต่ละรายก็จะเพิ่มสูงขึ้น จากนั้นภาคธุรกิจก็จะต้องตัดสินใจลดต้นทุนทางการเงินของตนเองลงมา ภาคครัวเรือนก็จะปรับลดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของตนเองลงมาเพราะมีภาระที่ ต้องผ่อนชำระหนี้เพิ่มขึ้น

เมื่อหนี้สาธารณะเพิ่มสูง ขึ้น รัฐบาลก็จะเริ่มอึดอัด ขยับตัวลำบาก ทำอะไรไม่ได้มากนัก อัตราดอกเบี้ยก็จะเริ่มขยับปรับตัวสูงขึ้นจากความกลัวเรื่องการผิดนัดชำระ หนี้ที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วรัฐบาลมีทางเลือกที่จำกัดมาก ได้แต่โกงความตายด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย มากน้อยแค่ไหนก็สุดแท้แต่ปริมาณหนี้ที่เป็นสกุลเงินท้องถิ่นที่รัฐบาลก่อไว้ ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนซึ่งเราเรียกวิธีการโกงความตายด้วยมาตรการทางการเงิน นี้ว่า “การบริหารหนี้ด้วยมาตรการทางการเงิน” (monetizing the deficit) กลไกนี้ก็คือมาตรการ QE (quantitative easing)ที่สหรัฐกำลังทำอยู่นั่นเอง 

ยกเว้นในเรื่องการซื้อหนี้กลับคืนซึ่งไม่ได้ทำให้เอาชนะเงินฝืดไปได้เลย มันเป็นเพียงแค่การซุกหนี้เอาไว้เท่านั้น มันก็เหมือนกับการโปรยหว่านเม็ดเงินออกไปไล่ซื้อสินค้าและผลักดันระดับราคา สินค้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และนั่นย่อมหมายความว่าได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นด้วย และด้วยการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้เองที่ช่วยค้ำยันเศรษฐกิจเอาไว้ไม่ให้ล้ม ครืนลงมา

มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นว่าผูเสีย ภาษีจะต้องจับตา ให้ความสนใจกับความเสี่ยงนี้เป็นพิเศษ บางประเทศที่นำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใช้นั้นผู้บริโภคจะต้องตระหนัก ว่ามันจะสร้างผลประโยชน์อะไรให้กับเราได้บ้างจากมาตรการบางอย่างที่ภาครัฐ กำหนดออกมานี้ แต่ในท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็จะต้องขึ้นภาษี และเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เราเองก็จะต้องตระหนักเอาไว้ด้วยว่าเมื่อรัฐขึ้นภาษีนั้นผู้บริโภคก็จะปรับ ลดการใช้จ่ายของตนเองลงมา การใช้จ่ายในระยะสั้นและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวคือสิ่งที่เราสามารถคาด คิดคำนวณได้ล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

การ ลดภาษีถือเป็นมาตรการหลักรูปแบบหนึ่งเมื่อมีการนำมาตรการทางการคลังออกมาใช้ ในเวลาที่เศรษฐกิจเกิดปัญหา นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องการใช้จ่ายเงินภาษีของภาครัฐและการคืนภาษีซึ่งภาค ครัวเรือนสามารถนำเงินที่ประหยัดได้นี้มาฝากเก็บไว้กินดอกเบี้ยก็ได้หรือจะ นำไปชำระหนี้ก็ได้ 

แล้วในปี 2008 – 2009 นั้นเล่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มาตรการทางด้านภาษีทีเกิดขึ้นจากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้นส่งผลให้ผู้บริโภคได้เงินภาษีคืนมา 25 – 30 เซ็นต์ต่อการใช้จ่ายทุกๆ 1 ดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของภาคครัวเรือน ซึ่งดูเผินๆแล้วเหมือนจะเป็นมาตรการที่ดี แต่ช้าก่อน ลองมานึกทบทวนรายละเอียดจากมาตรการ QE กันดูอีกครั้งหนึ่งก็จะพบว่ามาตรการต่างๆเหล่านี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นกำลัง ซื้อให้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเลย มันเป็นการยักย้ายถ่ายเทหนี้ออกจากกระเป๋าข้างซ้ายไปไว้ในกระเป๋าข้างขวา เท่านั้นเอง หนี้ภาคเอกชนลดลงแต่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชาญฉลาดแต่อย่างใดเลย

แนว ความคิดเรื่องการใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จึงเป็นแค่ เพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง ผิดกับนโยบายทางการเงิน(monetary policy)ที่ธนาคารกลางเป็นผู้กำหนดขึ้นมาตามแรงกดดันของรัฐสภาซึ่งเป็น มาตรการที่กำหนดขึ้นโดยไม่ต้องไปซ่อมสร้าง ดำเนินการอะไรใดๆให้สิ้นเปลืองงบประมาณและทรัพยากรอะไรใดๆทั้งสิ้น 

นโยบายเศรษฐกิจที่สมบูรณ์นั้นจะต้องทำทั้งนโยบายการเงินและการคลังให้สอด คล้องกัน ทำให้เกิดการฟื้นฟูประเทศด้วยการบูรณะ ซ่อมแซม ทำนุบำรุง ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุดทรุดโทรม และเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต หากเราจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของญี่ปุ่นก็จะพบว่าโครงการที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจนอย่างกฎหมายฟื้นฟูและลงทุนใหม่ของอเมริกันนั้นเป็นเพียงนโยบายที่ พูดง่ายทำยาก 

บางทีเราอาจจะต้องเรียนรู้จากจีน รัฐบาลจีนกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผล ทำให้จีนฟื้นจากวิกฤติการณ์ครั้งที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี นักการเมืองแต่ละคนมีอิสระที่จะคิดพิจารณาสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นตัวของตัว เอง รัฐบาลสามารถดำเนินมาตรการต่างๆได้อย่างรวดเร็วและได้ผลในการปรับปรุงและ เสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย แต่ก็มีบ้างบางมาตรการที่ทำไปแล้วเกิดความสูญเปล่าและไร้ประสิทธิภาพ หรือไม่ก็ทำให้เกิดฟองสบู่ขึ้นได้ในอนาคต

มาตรการทาง การคลังที่รัฐบาลนิยมนำมาใช้กันนั้นมีทั้งมาตรการทางด้านภาษีและการใช้จ่าย ของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะวิกฤติ แต่การปรับลดภาษีและการสร้างงานนั้นพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลยังสามารถดำเนินมาตรการอื่นๆได้อีกหลายอย่างเพื่อต่อสู้กับวิกฤติการ เงินที่กำลังดำเนินอยู่นี้ เส้นทางยังอีกยาวไกล ความเป็นไปนับวันยิ่งสลับซับซ้อน และแน่นอนว่ามีต้นทุนการดำเนินการให้เราต้องจ่ายกันด้วย

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอเรียน: เรามีทุกประเภทของเงินให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่ 3% กรุณา
    ส่งอีเมลถึงเราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้วันนี้ถ้าสนใจ เรามีเงินให้สินเชื่อ
    ผู้ประกันตนได้ดีสำหรับการรักษาความปลอดภัยสูงสุดที่มีความสำคัญและ 100% ถูกต้องตามกฎหมายของเรา
    และเรามีการลงทะเบียนกันอีเมล์: raphealjefferyfinance@gmail.com
    ชื่อ:
    ที่อยู่:
    เบอร์โทรศัพท์:
    จํานวนเงินที่จำเป็น:
    ระยะเวลา:
    อายุ:
    เพศ:
    ซีอีโอ / อีเมล์: raphealjefferyfinance@gmail.com
    ขอแสดงความนับถือ
    คุณชาย Rapheal

    ตอบลบ