ads head

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิกฤติเศรษฐกิจ 1929 (ตอนที่ 1): เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐแต่ลดภาษี ?

วิกฤติเศรษฐกิจ 1929 (ตอนที่ 1): เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐแต่ลดภาษี ?


ช่วงที่ประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์(Herbert Hoover)ออกมาแถลงผลงานประจำปีในปี 1930 นั้น สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งหายนะครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจมาแล้ว 1 ปี แถลงการณ์ของประธานาธิบดีฮูเวอร์ในวันนั้นฮูเวอร์ได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า “เศรษฐกิจตกต่ำนั้นไม่สามารถเยียวยารักษาให้หายได้ด้วยการออกกฎหมายหรือการ ออกแถลงการณ์ ประกาศหรือคำสั่งต่างๆของฝ่ายบริหาร และบาดแผลที่เกิดจากพิษภัยทางเศรษฐกิจนี้จะสามารถเยียวยารักษาให้หายได้ก็ ด้วยการแสดงบทบาทของตัวเองของแต่ละภาคส่วน องคาพยพ ในระบบเศรษฐกิจทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค” ฮูเวอร์แนะนำว่า”แต่ละคนจะต้องคงศรัทธาและความกล้าหาญเอาไว้”และ”แต่ละคนจะ ต้องรักษาความเชื่อมั่นในตนเองเอาไว้ให้ได้”

ขอบคุณสำหรับคำกล่าวเช่นนี้ ฮูเวอร์ยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงออกให้เห็นถึงความละเลยเพิกเฉย ไม่แยแสสนใจ ไม่ยอมทำอะไรเลยของภาครัฐ แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับมีอะไรที่สลับซับซ้อนมากไปกว่านั้น และน่าสนใจมากด้วย ในแถลงการณ์ที่เหมือนกันเป็นอย่างมาก ฮูเวอร์ชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายในโครงการสาธารณะต่างๆจะถูกพับเก็บไว้ก่อนใน ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ขาลง ในช่วงเวลาเช่นนี้ฮูเวอร์กล่าวรายงานด้วยความภาคภูมิใจ ชาติ รัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นจะใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างรอบคอบในการปรับปรุงโครงสร้าง พื้นฐานทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นการให้น้ำหนัก เป็นการดำเนินการที่ผิดพลาด นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความเป็นจริงแล้วฮูเวอร์โวว่า”รัฐบาลกลางจะให้ความอุดหนุนช่วยเหลือใน โครงการขนาดใหญ่อย่างเช่นการทำคลองส่งน้ำ ท่าเรือ การควบคุมน้ำท่วม การก่อสร้างสาธารณะ ทางหลวง และการปรับปรุงการขนส่งทางอากาศในทุกสิ่งทุกอย่างที่สหรัฐมีอยู่” ภายใต้สิ่งนี้ “ไม่ทำอะไรเลย” ประธานาธิบดี รัฐบาลกลางจะใช้จ่ายเงินมากขึ้นเป็น 2 เท่าในแต่ละโครงการ

แม้ฮูเวอร์จะสนับสนุนการใช้จ่ายบ้าง แต่ฮูเวอร์ก็ยังคงเชื่อเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายของ ภาครัฐไม่มากนัก ฮูเวอร์แถลงว่า”ช้าพเจ้าไม่สามารถให้การส่งเสริม สนับสนุนอย่างเข้มแข็งเกินไปได้ แต่จำเป็นอย่างถึงที่สุดที่จะต้องคล้อยตามแผนการอื่นๆเพื่อเพิ่มการใช้จ่าย ของภาครัฐ” แต่ฮูเวอร์ก็ยังคงดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐยังคงต้องอยู่ภายใต้กรอบการจัดทำงบประมาณแบบสม ดุลย์ ข้อความที่ฮูเวอร์บ่งบอกออกมานั้นชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่าเขาจะไม่ยอมให้เกิด การขาดดุลย์งบประมาณอย่างแน่นอน

ฮูเวอร์จอมตืดกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติ ศาสตร์ของวิกฤติเศรษฐกิจ แถลงการณ์ของฮูเวอร์แสดงให้เห็นว่าเขากำลังตกอยู่ภายใต้กับดับหลุมพรางจาก ความไม่รู้ คือไม่รู้ว่าจะเลือกบริหารจัดการวิกฤติครั้งนี้อย่างไร ด้วยวิธีการแบบไหน 2 วิธีที่มีการนำเสนอขึ้นมานั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว หนึ่งคือการมองย้อนกลับไปยังอดีตแล้วสั่งให้ทุกคนอดทนข่มกลั้น ทำงบประมาณแบบสมดุลย์ต่อไป กับอีกหนึ่งวิธีการซึ่งกลายเป็นวิถีแห่งอนาคต คลื่นลูกใหม่กระแสใหม่คือให้ทำงบประมาณแบบขาดดุลและทำโครงการสาธารณะขนาด ใหญ่ ฮูเวอร์มองเห็นแนวโน้มของอนาคตข้างหน้า แต่เขาก็ยังคงยึดติดอยู่กับอดีต เขาต้องการประนีประนอมกับทั้ง 2 วิธีการที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี้เพื่อความมั่นใจของตนเอง เพื่อให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และเพื่อรักษาวินัยทางการเงินการคลังไปพร้อมๆกัน ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำพร้อมกันไม่ได้ มันไปด้วยกันไม่ได้เลย

6 ปีหลังจากฮูเวอร์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ก็ได้บัญญัติหลักการใหม่ที่มีความชัดเจนขึ้นมาว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่จะ เกิดขึ้นครั้งใหม่ในอนาคตนั้น รัฐบาลจะต้องใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือเพื่อลดแรงกระแทกให้กับระบบ เศรษฐกิจด้วยการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อยก็จะต้องลดภาษี ซึ่งนโยบายการเงินในลักษณะดังกล่าวส่งผลให้รัฐต้องทำงบประมาณแบบขาดดุล นโยบายทางเศรษฐกิจแบบเดิมๆที่รอให้เศรษฐกิจเยียวยารักษาตัวเองนั้นก็เท่ากับ ว่าเรายอมให้คนไข้ทนอยู่กับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ต้องทนอยู่กับมันโดยที่ไม่มีใครยอมลงไม้ลงมือทำอะไรเลย ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาล้วนแต่อาศัยพึ่งพานโยบาย การเงินเป็นเครื่องมือทั้งสิ้นในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาลง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมาหรือไม่ก็ตาม

หากฮูเวอร์ยืนอยู่ในช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์ของ นโยบายการเงินแล้ว เราเองก็อาศัยอยู่ในโลกอีกยุคหนึ่งเช่นกัน เครื่องมือของเคนส์เติบโตขยายตัวจากเครื่องมือเล็กๆที่เชื่อถือไว้ใจได้กลาย เป็นชุดของเครื่องมือที่มีลำดับกระบวนการในการใช้งานที่สลับซับซ้อนที่ภาค รัฐใช้ในการแทรกแซงเศรษฐกิจ ในสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆประเทศ ภาครัฐไม่เพียงแต่ใช้จ่ายเงินในงานสาธารณะเพื่อส่วนรวมเท่านั้น แต่กลับใช้เงินงบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์อื่นด้วย อย่างเช่น การค้ำประกันเงินกู้ให้กับภาคธนาคาร ค้ำประกันหนี้ ค้ำประกันเงินฝาก นอกจากนี้ภาครัฐยังใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของ ผู้ถือหุ้นที่มีบทบาทสำค้ญในอุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และธนาคารยักษ์ใหญ่ด้วย นโยบายการเงินค่อยๆพัฒนาความซับซ้อนและวิธีการที่ละเอียดละออในการทำงาน นโยบายการเงินกลายเป็นเทคนิค กลอุบายสำคัญ และมีมูลค่าสูงมากสำหรับภาครัฐ

ผู้กำหนดนโยบายในบุคนี้สมัยนี้พบว่าตัวเองกำลังแก้ไขข้อ บกพร่องต่างๆคล้ายๆกับ ที่ฮูเวอร์ต้องทำ ต้องเผชิญ พวกเขาต้องการที่จะลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประคับประคองตลาด แรงงานและเพิ่มกำลังซื้อและการการผลิตสินค้า แต่หลายรัฐบาลมาแล้วก็ได้ใช้วิธีการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ไปแล้ว ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้นจนเกินระดับที่ภาครัฐจะสามารถ แบกรับภาระต่อไปได้ พวกเขาจึงต้องอาศัยการบีบบังคับแบบฮูเวอร์ “ผู้ผลิตและผู้บริโภค”ให้ช่วยเหลือตัวเอง แต่ก็ยังคงให้ความช่วยเหลือทางการเงินด้วยการใช้จ่ายเงินงบประมาณจำนวน มหาศาลยิ่งกว่าที่เคยมีมา และขณะที่พวกเขาต้องการประคับประคองระดับของความเชื่อมั่นเอาไว้ไม่ให้ตกต่ำ จนถึงขีดที่เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจพวกเขาก็ต้องช่วยกันประคับประคองภาค ครัวเรือน สถาบันการเงิน และบรรษัทเอกชนต่างๆด้วยการกระตุ้น จูงใจสารพัดวิธีซึ่งนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจขั้นที่ 1

ในระยะสั้นก็มีการโต้เถียงกันบ้างเกี่ยวกับเม็ดเงิน จำนวนมหาศาลที่ใช้ในนโยบาย การเงินแห่งศตวรรษที่ 21 ว่าสถานการณ์อันยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างช่วงเวลา ที่ฮูเวอร์ต้องเผชิญ วิธีการแบบเดิมๆที่เคยทำกันมานั้นใช้ไม่ได้ในยุคปัจจุบันซึ่งมีข้อมูลข้อ เท็จจริงที่กำลังค่อยๆปรากฏขึ้นมาให้เราใด้เห็นกันแล้วทีละเล็กทีละน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น