ads head

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คาร์ลอส สลิม เอลู มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คนใหม่


คาร์ลอส สลิม เอลู มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก คนใหม่








คาร์ลอส สลิม เอลู (Carlos Slim Helu)


มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันเชื้อสายเลบานอน วัย 70ปี
คว้าตำแหน่งบุคคลที่รวยที่สุดในโลกคนล่าสุดไปครอง
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา ที่ผู้ร่ำรวยที่สุดของโลก ไม่ใช่ “ชาวอเมริกัน”


โดยนิตยสารฟอร์บส์ระบุว่า ในปีที่ผ่านมาสลิมมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 605,705ล้านบาท จนทำให้เขามีทรัพย์สินสุทธิกว่า 53,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในขณะนี้










สลิมเกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 1940 ที่กรุงเม็กซิโกซิตี
เป็นบุตรชายคนเล็กของ จูเลียน สลิม ฮัดดาด
ผู้อพยพชาวเลบานอนซึ่งมาทำงานในเม็กซิโก
และ โดนญา ลินดา เอลู ที่เป็นชาวเม็กซิกันเชื้อสายเลบานอน
ข้อมูลใน ฟอร์บส์ ระบุว่า สถานภาพครอบครัวส่วนตัว ...เป็นหม้าย








เขามีบุตรชายและหญิง 6 คน
จากการสมรสในปี 1966
กับ Soumaya Domit Gemayel.
และแยกทางกันในปี 1999


สลิมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเม็กซิโกช่วงทศวรรษ 1960


ก่อนผันตัวเองมาเป็นโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นและเริ่มเรียนรู้การลงทุนในธุรกิจหลายประเภท


จนกระทั่งต้นทศวรรษ 1980 ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในละตินอเมริกาทำให้ธุรกิจจำนวนมากล้มครืน 





คา ร์ลอส  สลิม เข้าไปกว้านซื้อบริษัทที่เจ๊งเหล่านั้นในราคาถูกๆ  ก่อนจะเปลี่ยนบริษัทใกล้เจ๊งให้กลายเป็นสินทรัพย์มหาศาลในเวลาไม่กี่ปีต่อมา ทั้งบริษัทผลิตน้ำดื่ม และธุรกิจการสื่อสาร ต่อมาเขากลายเป็นเจ้าของสถาบันการเงิน "อินเบอร์ซาไฟแนนเชียล กรุ๊ป" และกลุ่มบริษัทในเครือ "กรูโป คาร์โซ อินดัสเทรียล" ที่ก่อตั้งขึ้นมากับมือ 

 
วันนี้  เขาคือเจ้าของเครือบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ คอมป์ ยูเอสเอ เครือข่ายร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านค้าปลีก ไปจนถึงร้านอาหาร

        
แต่ ธุรกิจหลักของคาร์ลอส สลิม คือธุรกิจด้านการสื่อสาร บริษัทให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน "เทเลโฟนอส เดอ เม็กซิโก" หรือ "เทลเม็กซ์" ที่ซื้อมาจากรัฐบาลเม็กซิโกเมื่อปี 1990 ระหว่างการเปิดประมูลครั้งใหญ่ สมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีคาร์ลอส ซาลินาส  โดยครั้งนั้น เขา ทุ่มทุน 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นเทลเม็กซ์

 
ทั้งนี้  ปี 1990  เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเม็กซิโก   และนำไปสู่การเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนแปรรูปรัฐวิสาหกิจมากขึ้น   และเป็นไปอย่างกว้างขวาง  ทำให้ปัจจุบัน เทลเม็กซ์ เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานแบบผูกขาดในเม็กซิโก นอกจากนี้ยังมีบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือเทลเซล ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 80%
 
และในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทการสื่อสารไร้สาย "อเมริกา โมวิล" ของเขายังขยายตัวอย่างรวดเร็ว กว้านซื้อระบบให้บริการย่อยทั่วภูมิภาคละตินอเมริกา จนตอนนี้มีผู้ใช้บริการมากกว่า 100 ล้านราย

"
เขา  เป็นบุคคลหนึ่งที่เข้าไปยึดหัวหาดตลาดโทรศัพท์ในเม็กซิโก จากผลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งนั้น ทำให้เทลเม็กซ์ บริษัทโทรศัพท์ของรัฐ ถูกกรืนโดยบริษัทในเครือของสลิม จนสามารถครองตลาดโทรศัพท์บ้านถึง 92% และตลาดโทรศัพท์มือถือ 73%"

 
คาร์ลอส สลิมคือ เจ้าของ บริษัท อเมริกา โมวิล ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมในเม็กซิโก!!! 
 
ต้อง ยอมรับกันว่า ความสำเร็จส่วนหนึ่งของเขานั้น   มาจากการมองเห็นโอกาสก่อนใครอื่น ซึ่งสิ่งนี้เขาได้เรียนรู้จากการอ่านหนังสือ “ฟิวเจอร์ ช็อค” ของนักเขียนชื่อดัง อัลวิน ทอฟเลอร์ ปรมาจารย์ทางด้าการตลาดชื่อดังของโลก
กว้านซื้อธุรกิจ"เจ้ง"ปัดฝุ่นทำกำไรในตลาดหุ้น
จาก ตำราของ คาร์ลอส ที่ได้ดำเนินกลยุทธ์ในการกว้านซื้อบริษัทต่างๆ ที่ไม่ทำกำไรในราคาถูก ก่อนนำมาบริหารใหม่จนมีกำไร และทำให้เขี่ยคู่แข่งออกจากตลาด   จึงเป็นการเดินทางลัดที่ผนวกจุดแข็งในตัวก่อเกิดประโยชน์  โดยใช้คอนเน็คชั่นทางการเมือง บวกเข้ากับความแหลมคมในเชิงธุรกิจ จนทำให้ไร้คู่แข่งขันในตลาด

นี้คือความไม่ธรรมดาในการทำธุรกิจของคาร์ลอส ที่ใช้วิธีทั้งบนดินใต้ดิน เพื่อดำเนินการไปสู่สูตรการทำธุรกิจแบบผูกขาด!!!

จาก ข้อมูลระบุมูลค่าหลักทรัพย์ของธุรกิจนายคาร์ลอส  คิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าหลักทรัพย์โดยรวมในตลาดหุ้นเม็กซิโก  ขณะที่ธุรกิจครอบครัวเขาสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี ) ซึ่งมีมูลค่า 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา  ว่ากันว่า ความมั่งคั่งของนายคาร์ลอสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากที่เคยรวยเพียง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็เพิ่มมาอยู่เกือบ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน

"
โดยส่วนใหญ่มาจากมูลค่าหุ้นในบริษัท ที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน ที่นายคาร์ลอสทำรายได้วันละประมาณ 27 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราววันละ 918 ล้านบาท  "
 
นิตยสารฟอร์จูนระบุถึงความั่งคั่งของคาร์ลอสที่เกิด จากราคาหุ้นในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้หลักทรัพย์ที่กระจายอยู่ตามธุรกิจต่างๆ  ทั้งธุรกิจอาหาร  บุหรี่  ก่อสร้าง โทรคมนาคม เหมืองแร่ โรงงานผลิตจักรยาน โรงงานผลิตน้ำอัดลม สายการบิน โรงแรม และสถาบันการเงินขึ้นกันแบบยกแผง  ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ที่เคยแตะอยู่ระดับ 4.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อการสำรวจของ"ฟอร์จูน"ครั้งก่อน พุ่งมาแตะ  5.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในการสำรวจครั้งนี้  หรือเพียงแค่ปีเดียวมูลค่าทรัพย์สินเขาได้เพิ่มสูงถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ  ตัวเลขสูงกว่าบิลล์ เกตส์  1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  
 
แต่ หากดูจากการสำรวจของ เว็บไซต์ข่าวธุรกิจ เซนติโด โคมุน ในเม็กซิโก  จะเห็นตัวเลขมูลค่าทรัพย์สินของคาร์ลอสนั้นสูงกว่าที่ฟอร์จูนมาก โดยรายงานระบุว่า ผลพวงจากราคาหุ้นของบริษัท"อเมริกา โมวิล" บริษัทผู้ให้บริการระบบการสื่อสารไร้สายที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา ที่ "คาร์ลอส สลิม" ถือหุ้นอยู่ถึง 33% ในไตรมาสที่ 2 พุ่งขึ้นถึง 26.5% ทำให้เขา มีทรัพย์สินมูลค่ารวม 67,840 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวยกว่าบิลเกตส์ที่มีทรัพย์ 59,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราว 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐทันที
 
จะสังเกตเห็นว่า ความร่ำรวยของคาร์ลอส สลิม จึงดูเหมือนทั้งบิลล์ เกตส์ ที่ทำธุรกิจผูกขาดมาตลอด  และภาพอีกด้านหนึ่งก็เหมือนวอร์เรน บัฟเฟส ที่สร้างความร่ำรวยจากตลาดหลักทรัพย์ในฐานะบทบาทของนักลงทุน!!!



สูตรสำเร็จของคาร์ลอส สลิม หนุ่มใหญ่วัย 67 ปีคือ การทำธุรกิจแบบผูกขาด!!!
รวยทางลัดฉบับ"คาร์ลอส"

หาก จะว่าไปแล้ว การใช้วิธีทำธุรกิจแบบผูกขาด จนสร้างความร่ำรวยไม่เพียงเกิดขึ้นกับมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งคนใหม่ของโลกคน นี้เท่านั้น  แต่นักธุรกิจในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศกำลังพัฒนา ที่ใช้ "สูตรรวยทางลัดแบบไร้คู่แข่ง" ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับพวกเขามาแล้วหลายรายนับไม่ถ้วน

 
เพราะแม้แต่ธุรกิจไมโครซอฟต์ ก็เคยถูกกล่าหาว่า ทำธุรกิจผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในโลก แบบไม่มีคู่แข่งขัน



สลิมกับบิล เกตส์


 ที่มา http://www.happylifeworld.com
 

อย่างไรก็ตาม ฟอร์บส์ระบุว่า แม้สลิมจะแซงบิล เกตส์ขึ้นไปเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกได้ในปีนี้ แต่หากเกตส์ต้องการจะชิงตำแหน่งคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสลิมมีทรัพย์สินมากกว่าเพียงแค่ 500 ล้านดอลลาร์ (ปี53)


ฟอร์บส์ชี้ว่า ขอเพียงแค่ บิล เกตส์ หยุดบริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลที่เขาจัดตั้งขึ้นมาสักระยะหนึ่ง ก็สามารถทวงตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกคืนมาได้อย่างแน่นอน


สลิมวัย 70 ปี ซึ่งแซงหน้า บิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน
ขึ้นแท่นบุคคลร่ำรวยอันดับ 1 ของโลกในปี 2553 จากการจัดอัน ดับของนิตยสารฟอร์บส์ โดยมีสินทรัพย์ตามประเมิน 60.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


ในหนังสืออัตชีวประวัติ ซึ่งเขียนโดยโฮเซ่ มาร์ติเนซ ที่จะออกวางจำหน่ายทั่วลาตินอเมริกาในเร็ว ๆ นี้ ตอนหนึ่งระบุว่า


แม้จะมีเงินทองมากมายมหาศาล แต่สลิมเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย และประหยัดมัธยัสถ์ ใช้นาฬิกาข้อมือพลาสติกราคาถูก และเดิน


รายได้ของสลิมเพิ่มขึ้น 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เขาจำกัดเงินเดือนของตนเองไว้แค่เดือนละ 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 790,000 บาท และตั้งกฎให้ผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางของเครือข่ายบริษัท ใช้เลขานุการคนเดียวกัน และห้ามมีที่ปรึกษา นอกจากนั้น สลิมยังถือเป็นคติประจำใจ ในการทำธุรกิจว่า




“จะไม่มีวันทำธุรกิจกับนักการเมืองโดยเด็ดขาด”.



...................................................................
ที่มา :http://www.arip.co.th/businessnews.php?id=411896
http://www.baanmaha.com/community/thread36043.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น