ads head

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เลือกหุ้นสไตล์…Tomorrow Never Dies ! โดย วิกรม เกษมวุฒิ



เลือกหุ้นสไตล์…Tomorrow Never Dies ! โดย วิกรม เกษมวุฒิ

3 กรกฎาคม 2555
ที่มา http://www.doctorwe.com/variety/20120703/2217

สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ เฟสบุ๊ค
ผมมีรุ่นพี่อยู่ท่านหนึ่ง
ท่านเป็นคนที่ “รักการเล่นหุ้น” เป็นชีวิตจิตใจ
และทุกวันนี้ “คำแนะนำ” ของท่าน ก็ยังใช้ได้กับเหตุการณ์ปัจจุบัน
ท่านมีชื่อว่า  พี่วิกรม เกษมวุฒิ
ในตอน  เลือกหุ้นสไตล์…Tomorrow Never Dies !!!



เลือกหุ้นสไตล์…Tomorrow Never Dies !!!
หุ้นที่ไม่มีวันตาย…พอร์ตไม่มีวันเจ๊ง
“หุ้นปูนใหญ่” มีลักษณะเป็นหุ้นที่
“ไม่เคยสายที่จะลงทุน ถือหุ้นปูนใหญ่”
ลงทุนเมื่อไรก็ได้กำไร ถ้าหากถือลงทุนระยะยาว



ถ้า “โค้ก” คือ หุ้น “Tomorrow Never Dies !”
หรือหุ้นที่ไม่มีวันตาย ! สำหรับสุดยอดเซียนหุ้นบันลือโลกอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
“หุ้นปูนซิเมนต์ไทย”(SCC) ก็คือ
สุดยอดหุ้นดีที่สุดที่…
“เซียนสถิติ…วิกรม เกษมวุฒิ” ยกย่องให้เป็นหุ้นที่ไม่เคยตายไปจากตลาดหุ้นไทย



วิกรม คือหนึ่งใน “เซียนสถิติ”…แถวหน้าของเมืองไทย
ที่อุทิศตัวเพื่อย่ำเท้าไปตามเส้นทางเดียวกับ “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
สุดยอดนักลงทุน ผู้มีความมั่งคั่งเป็นอันดับ 2 ของโลก
จากหุ้น “เบิร์กไชร์” บริษัทโฮลดิ้งที่ไปลงทุนในบริษัทอื่น



วอร์เรนเป็นนักลงทุนเพียงคนเดียวที่สร้างความร่ำรวยจากตลาดหุ้น
จนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก เบิร์กไชร์
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลายบริษัทในตลาดหุ้นนิวยอร์ก
เช่นหุ้น โคคา-โคลา ยิลเลตต์ อเมริกันเอ็กซ์เพรส เวลฟาร์โก วอลล์ดิสนีย์
และหุ้น วอชิงตัน โพสต์ ที่ทำกำไรสูงสุดถึง 109 เท่า



ตามความเชื่อของวิกรม เขาคิดว่า
“ดาบดีมี 2 คม จะเป็นคุณเป็นโทษก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้”
เพราะอดีต คือ ความจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว
แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย วิกรมเชื่อเช่นนั้น



ในเมื่อไม่มีใครทำนายอนาคตได้
อดีตก็น่าจะเป็นเครื่องบอกทางที่ดีที่สุดใช่หรือไม่
วิกรม บอกว่า ตลอด 38 ปีที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ลงทุนมีกำไรถึง 6,000 เท่า
และมีนักลงทุนจำนวนมาก เชื่อถือและลงทุนตามคำแนะนำของเขา



“จากเงินลงทุนครั้งแรกที่ 13 เหรียญต่อหุ้น หรือหุ้นละ 540 บาทเมื่อปี 2508
ลงทุนจำนวน 100 หุ้น จนถึงเมื่อต้นปี 2541
ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดที่ 8 หมื่นเหรียญ หรือหุ้นละ 3 ล้านบาท
คิดผลกำไรเป็นเม็ดเงินถึง 300 ล้านบาท
จากถือหุ้นเพียง 100หุ้น เท่านั้น”



หลักการลงทุนของบัฟเฟตต์จะยึดหลัก 4 ข้อก่อนตัดสินใจลงทุน คือ
หลักการทางธุรกิจ   การบริหาร
การเงินและ……        การตลาด
การเลือกลงทุนในแง่ “ธุรกิจ” ของเขา
จะเน้นธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย มีประวัติการดำเนินงานที่ดี สม่ำเสมอ



มีแนวโน้มการทำกำไรระยะยาวเป็นที่น่าพอใจ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หรือ อนาคตจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม
หุ้นที่เขาถือจึงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
จึงหนีไม่พ้น ธุรกิจอาหาร ขนม ประกันชีวิต เครื่องบิน รองเท้า
เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ หนังสือพิมพ์ และอื่นๆ
เช่น หุ้นโค้ก ,ช็อกโกแลตยี่ห้อ SEE’S   หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ เป็นต้น



ในแง่ของ “การบริหาร” บัฟเฟตต์จะคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของผู้บริหาร
การเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่โกง และไม่ทำธุรกิจตามคนอื่น
ด้าน “การเงิน” เขาจะใส่ใจ “ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น” (ROE)
ไม่ใช่กำไรต่อหุ้น และคำนวณกำไรของผู้ถือหุ้นออกมาเป็นตัวเลข
โดยจะยึดหลักว่า เมื่อลงทุนทั้งปีจะต้องมีกำไรกลับคืนมามากกว่า 12% หรือ 1% ต่อเดือน
ถ้าหากน้อยกว่านี้ เขาจะไม่เลือกซื้อหุ้นบริษัทนั้นเลย



หลัก “การตลาด” เขาจะคำนวณก่อนว่ามูลค่าของธุรกิจบริษัทที่ลงทุนเป็นเท่าไร
โดยใช้ราคาหุ้น คูณด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่
และหาโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ
โดยเขาจะ “เฝ้ารอ” เวลาที่ราคาหุ้นลงมาต่ำกว่า… พื้นฐานที่แท้จริง



อย่างโค้ก… บัฟเฟตต์สนใจมานาน แต่ช่วงนั้นราคาหุ้นสูงมากเขาเฝ้ารอ
จนกระทั่งเกิดปัญหาภายในบริษัท ผู้บริหารชุดเก่าลาออก และเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่
เนื่องจากพนักงานบริษัทไม่พอใจประธานบริษัทคนเก่า
บัฟเฟตต์บอกว่า ช่วงที่เป็นจังหวะการซื้อหุ้นที่ดี ก็คือ ช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติ



การลงทุนของวิกรม เขาจะยึดหลักการเดียวกันกับบัฟเฟตต์
เขาย้ำว่า หัวใจของหุ้น คือผลกำไร เพราะราคาหุ้นจะต้องไปกับกำไรของบริษัทเสมอ
“สรุปก็คือ หุ้นทั้งหลายตายอยู่ที่ผลกำไร คือราคาหุ้นจะต้องไปกับกำไรของบริษัทเสมอ
ถ้าหากราคาหุ้นวันนี้ไม่ขึ้น อีก 1-2 ปี ก็จะขึ้นแน่นอน”
หลักการก็คือ ถ้าบริษัทมีกำไรสม่ำเสมอ และดีขึ้น ราคาหุ้นก็ต้องขึ้น
ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่…  ที่ผู้ลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจ



สถิติหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐก็เช่นกัน เมื่อใดที่ผลกำไรของบริษัทตกลง
ราคาหุ้นก็จะลดลงไปในทิศทางเดียวกัน
ในทางกลับกันเมื่อผลกำไรของหุ้นดีขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นด้วย
ตัวอย่างของ “หุ้นวอลล์-มาร์ท” บริษัทดิสเคาท์สโตร์อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริษัทมีกำไรทุกปี
ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ผู้ที่ลงทุนในหุ้นวอลล์-มาร์ท
ไม่เคยสายที่จะได้รับกำไรจากลงทุนไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด



วิกรม ยกย่อง “หุ้นปูนใหญ่” เป็นหุ้นที่มีลักษณะที่ “ไม่เคยสายที่จะลงทุน ถือหุ้นปูนใหญ่”
หรือลงทุนเมื่อไรก็ได้กำไร ถ้าหากถือลงทุนระยะยาว
“ปูนใหญ่”  เข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2518 เป็น 1 ใน 8 หุ้นยุคแรกที่เข้าตลาดหุ้นพร้อมกับเปิดตลาดหุ้นไทย
ถ้าย้อนกลับไปดูผลตอบแทนของหุ้นปูนใหญ่
จะพบว่า หากลงทุนเริ่มแรกเมื่อปี 2518 ที่ราคา 167 บาท จำนวน 100 หุ้น
หรือคิดเป็นเงินลงทุน 16,700 บาท



ปัจจุบันราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาท
และคิดเป็นจำนวน 10,000 หุ้น
( มีการแตกพาร์จากมูลค่า 100 บาท เป็น 10 บาทและ 1 บาทในปัจจุบัน)
พบว่า มูลค่าหุ้นเพิ่มเป็น 3.5 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นมา 210 เท่าภายในระยะเวลา 37 ปี



และนั่นคือ วิธีเล่นหุ้นสไตล์ “Tomorrow never dies”
ของ วิกรม เกษมวุฒิ
เพื่อนๆ ที่อาจเคยผ่านประสบการณ์ “Tomorrow will die”
หรือที่แปลว่าว่า “พรุ่งนี้….อาจตายได้ !!”
อาจลองเปลี่ยนการเล่นหุ้นเป็นแบบนี้บ้าง
เพราะ เราอาจจะไม่ต้อง “กังวล” และอาจมี “ชีวิตที่ยาวกว่า”   ก็เป็นได้

ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น