ads head

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

การใช้ PE เพื่อพิจารณาดูหุ้นถูกหรือหุ้นแพง

การใช้ PE เพื่อพิจารณาดูหุ้นถูกหรือหุ้นแพง

PE ย่อมากจา Price to earning ratio มาจากสูตร ราคาตลาดหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น

สมมุติ ว่าราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น ณ ปัจจุบัน เท่ากับ 10 บาท ดังนั้น PE จะอยู่ที่ 100 หารด้วย 10 คือ 10 เท่า

ความหมายของ PE ง่าย ๆ ก็คือ กำไรสุทธิต่อหุ้นในเวลากี่ปีจึงจะคืนทุนเท่ากับราคาที่เราลงทุนเริ่มแรกครับ

ถ้าเป็นไปตามกรณีตัวอย่างนี้ก็ประมาณ 10 ปีคืนทุนครับ

แต่ จะเป็น 10 ปีคืนทุนได้ ก็หมายความว่า กำไรสุทธิต่อหุ้นต้องไม่ต่ำกว่า 10 บาททุกปี ถ้าต่ำกว่า 10 บาทเมื่อใด ระยะเวลาในการคืนทุนก็จะยาวกว่า 10 ปี หรือ PE ในอนาคตอาจสูงกว่า 10 เท่าได้ ทำนองเดียวกัน ถ้ากำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคตมันสูงกว่า 10 บาท ก็จะทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนก็จะสั้นกว่า 10 ปี หรือ PE ในอนาคตอาจต่ำกว่า 10 เท่าก็ได้

นักลงทุน Vi จะสนใจข้อมูลในอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประมาณการแนวโน้มของการทำกำไรว่ามีความสม่ำเสมอ เพียงใด ยั่งยืนเพียงใด ศักยภาพการทำกำไรมีความสามารถในการแข่งขันเพื่อปกป้องกำไรในอนาคตไม่ให้ตก ต่ำลงหรือไม่มีความเสี่ยงในอดีตในเรื่องการทำกำไรอย่างไรหรือไม่ที่ทำให้ กำไรผันผวนเกินกว่าการดำเนินงานปกติ

PE สูงในปัจจุบัน อาจเกิดจากการคาดการณ์กำไรในอนาคตที่จะเติบโตสูงขึ้น ยิ่งกำไรในอนาคตสูงขึ้นมากเท่าใด นักลงทุนก็อาจจะให้ Premium PE ที่สูงเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราคาดคะเนกำไรในอนาคตจะเติบโตน้อย หรือไม่เติบโต หรืออาจลดลง แบบนี้นักลงทุนก็อาจจะให้ discount PE คือ กำหนด PE ให้ต่ำไว้เพื่อรองรับการปรับตัวของกำไรที่เกิดขึ้นในอนาคตที่ปรับลดลง

เนื่อง จากเป็นการคาดคะเน Mr market ก็อาจจะมีการคาดคะเนกำไรที่ผิดพลาดเกิดขึ้น ทำให้ราคาตลาดผันผวนไปตามการคาดการณ์ของนายตลาดซึ่งเราต้องถือว่า Market มันไม่ Efficiency ทำให้เกิดโอกาสของนักลงทุน VI ที่จะสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่ Market คาดการณ์ผิดพลาดได้ เราจึงต้องวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเองครับ แล้วใช้นายตลาดให้เป็นประโยชน์แต่ไม่ต้องทำตามนายตลาดครับ

ตัวอย่างที่ Mr Market ตีราคาหุ้น PE ครับ

เช่น คิดว่ากำไรจะเติบโตสูง นายตลาดก็ให้ PE ที่สูงมาก แต่กลายเป็นว่า กำไรอาจปรับลดลงในอนาคต แบบนี้ก็เสีย่งต่อการขาดทุน ดังนั้นการซื้อหุ้นที่ PE สูงมากในปัจจุบัน ก็มีความเสี่ยงต่อกำไรที่อาจไม่เติบโตตามที่ตลาดคาดการณ์ในอนาคตก็ได้

ทำนอง เดียวกันซื้อหุ้นที่ PE ต่ำมากเพราะคิดว่าถูกมาก ๆ เนื่องจากนายตลาดตีราคา PE ให้ต่ำ เพราะได้ Discount กำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคตที่จะต่ำลงไว้แล้ว แต่อาจกลายเป็นว่า กำไรสุทธิที่คาดว่าจะต่ำลง แต่กลับกลายเป็นว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตกลับสูงขึ้นมากเพราะ ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปมาก ๆ เป็นต้น แบบนี้เราก็อาจซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกจริง และมีโอกาสที่หุ้น PE ต่ำดังกล่าวอาจปรับตัวเป็น PE ที่สูงขึ้นได้ในอนาคตหรือแม้แต่ PE เท่าเก่า แต่ราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นตามผลกำไรที่มากขึ้นครับ เนื่องจากพื้นฐานหุ้นอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีสม่ำเสมอของกำไรที่ดีขึ้นในอนาคตครับ

ปกติทั่วไปแล้ว หุ้นทั่ว ๆ ไป เราควรลงทุนในระดับ PE ไม่เกิน 10 เท่า คือ 10 ปี คืนทุน หรือผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10% ต่อปีใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดในเมืองไทยประมาณ 11% -12% ต่อปี

แต่ ถ้า PE ที่สูงกว่านี้ หรือต่ำมาก ๆ ตรงนี้เราต้องใช้ความรู้พิเศษจริงๆ ที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมว่า กำไรสุทธิในระยะยาวจะเป็นอย่างไรครับ เพราะ PE ที่ต่ำมากปัจจุบัน หรือสูงมาก ๆ ในปัจจุบัน จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตเมื่อกำไรสุทธิเทียบกับการคาดการณ์นั้นไม่เป็นไปตาม ที่ Mr market คาดการณ์ไว้ครับ ซึ่งทำให้เกิดโอกาสและความเสี่ยงจากการลงทุนได้ครับ

จริง ๆ แล้วในตลาดก็มี Case ให้เห็นหลาย ๆ ตัวนะครับ

PE ต่ำแล้วในวันนี้ อาจจะเป็น PE ที่สูงมากในอนาคต คือเป็นหุ้นที่แพงมาก ๆ เพราะกำไรสุทธิต่อหุ้นมันปรับลดลงมาก จนบางตัวถึงกับขาดทุนไปเลยก็มีครับ เช่นหุ้นกลุ่มสิ่งทอหลายตัวครับ แต่ก็มีอีกหลาย ๆ ตัวที่ PE ต่ำในวันนี้ และจะต่ำมากยิ่งขึ้น เพราะแทนที่กำไรสุทธิจะต่ำลงตามที่คาดการณ์ แต่กลับปรับตัวสูงขึ้นมากในอนาคตเป็นต้นครับ ยกตัวอย่างหุ้น TR draco SVI ครับ กำไรเพิ่มขึ้นมากเลยครับ

หรือ PE ที่สูงในวันนี้ อาจจะเป็น PE ที่ต่ำมากในอนาคต แม้ปัจจุบันเราจะรู้สึกว่าราคาแพงไปแล้วก็ตาม เพราะกำไรสุทธิต่อหุ้นในอนาคตมันปรับเพิ่มขึ้น หรือเติบโตสูงที่เราเรียกว่า Growth stock คือหุ้นที่ยังเติบโตในอัตราสูงกว่าอัตราเฉลี่ยการเติบโตทั่วไปเมื่อเทียบกับ ผลงานอดีต เทียบกับภาวะอุตสาหกรรม หรือเทียบกับ GDP ก็ตามเป็นต้น ซึ่งก็มีให้เห็นหลายตัว ตัวอย่างเช่น หุ้น Mint เป็นต้นครับ หรือ Pe ที่สูงวันนี้ และแต่ราคาตรงนี้กลับรู้สึกแพงเกินไปยิ่งขึ้นในอนาคตเพราะคาดการณ์ว่าเติบโต สูงแต่ไม่สูงจริง แบบนี้ก็คือแพงในวันนี้แล้วยังแพงยิ่งขึ้นในอนาคตครับ เช่นหุ้นโรงพยาบาลบางตัวครับ ไม่อยากเอ่ยชื่อหุ้นครับ อิ อิ

ดัง นั้นอย่าเพียงดูเฉพาะ PE ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ต้องประมาณการณ์ผลกำไรเพื่อดูเป้าหมาย PE อนาคต ณ ราคาปัจจุบันด้วยครับว่าเป็นอย่างไร นักลงทุนทั่วไปจะตกหลุมพราง PE ปัจจุบันที่ต่ำหรือสูง แต่ไม่ได้คาดการณ์อนาคตของกำไรสุทธิต่อหุ้นครับ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการลงทุนได้ง่าย

เวลา VI เขามองนั้นจึงควรจะเน้นที่ผลการดำเนินงานเป็นหลักเพราะเป็นพื้นฐานที่เป็น จริงมากกว่าการดูราคาระยะสั้น ๆ โดยการปรับขึ้นลงของราคาระยะสั้น ๆ นั้นปล่อยให้ Mr market เขาทำงานของเขาไปครับ เพราะเราเชื่อว่าท้ายสุด ราคาตลาดจะสะท้อนตามมูลค่าพื้นฐานที่เป็นจริงต่อไปในอนาคต และได้พิสูจน์ในหุ้นหลาย ๆ ตัวแล้วว่า หากผลการดำเนินงานในระยะยาวดีขึ้นสม่ำเสมอ นอกจากปันผลที่ดีขึ้นแล้ว ราคาก็มักจะเป็นไปตามทิศทางของพื้นฐานที่ควรจะเป็นในระยะยาว แม้ว่าระยะสั้นจะเกิดความผันผวนของราคาที่ปรับลดลงไม่ตรงกับมูลค่าพื้นฐาน ที่เป็นจริงบ้าง เพราะนายตลาดก็จะทำให้หน้าที่ตีราคา สูงกว่า หรือต่ำกว่า ราคาที่แท้จริง แล้วแต่ Mood ของผู้ลงทุนในแต่ละช่วงเวลาที่บางครั้งเราก็ควบคุมกลไกของ Mr market ไม่ได้ครับ

ทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์คือหุ้นทั่ว ๆ ไปนะครับ แต่ยกเว้นไม่รวมหุ้นปั่น หรือ หุ้น Big Cap ซึ่งพวกนี้ปรับขึ้นลงบางครั้งไม่ใช่จากปัจจัยพื้นฐานตามที่กล่าวเพียงอย่าง เดียว แต่ปรับราคาบางครั้งก็มาจากเหตุผลอื่น เช่น จาก fund flow บ้าง จากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาปั่นหรือเก็งกำไรบ้างครับ โดยอาจไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับแต่อย่างใดครับ



โดย: ต่างมุมมอง วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:17:13:03 น.  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น