ads head

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

Fully invest (ลงทุนในหุ้นเต็มร้อย กำไรจริงเหรอ) ตอนที่ 1 รีวิวทัศนคติของกูรูต่างๆ ในไทย

Fully invest (ลงทุนในหุ้นเต็มร้อย กำไรจริงเหรอ) ตอนที่ 1 รีวิวทัศนคติของกูรูต่างๆ ในไทย

ที่มาhttp://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kunjoja
ผมไปอ่านบทความของสุมาอี้ อยู่บทหนึ่ง หัวข้อเรื่อง ทำอย่างไรไมให้ขายหุ้นทิ้งบ่อยๆ ..
วันนี้ขอคัดย่อและเรียบเรียง มาเป็นบทนำให้อ่านกันก่อน..


“วันนี้ มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งมาแนะนำกัน หุ้นตัวนี้ราคาไม่เคยขยับไปไหนตั้งแต่มีตลาดหุ้นมา มี P/E ราว 50-100 เท่าในปัจจุบัน จ่ายปันผล 1-2% ทุกปี ราคาหุ้นนิ่งสนิทติดต่อกันยาวนานสิบๆปี ได้อ่านแล้วถ้าเป็นเพื่อน ๆ จะซื้อหุ้นตัวนี้ไหม? ..
ผมว่า ถ้าหุ้นตัวนี้มีอยู่จริงในตลาดเรา คงไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากซื้อเก็บไว้
แต่ทราบหรือไม่ว่า นักลงทุนทุกคน รวมทั้งตัวคุณด้วย ชอบซื้อตัวนี้แถมบางคนซื้อบ่อยด้วย !
ขอเฉลย....
หุ้น ตัวนี้ มีตัวย่อว่า CASH เป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด ไม่มีนักลงทุนคนไหนไม่เคยซื้อ ทุกครั้งที่ขายหุ้นอะไรในพอร์ท นักลงทุนก็กำลังซื้อหุ้นที่ชื่อว่า CASH เข้ามาในพอร์ท

เจ้า CASH นี้ มันไม่เคยให้ Capital Gain เลย P/E ก็สูง (50-100 เท่า) แค่จ่ายปันผลทุกปี ในขณะที่หุ้นที่เราขายทิ้ง ให้ปันผลที่สูงกว่านี้ มี P/E น้อยกว่านี้ เราก็ยังตัดสินใจขายมันทิ้งไป .. คุณ “สุมาอี้” ให้แนวคิดไว้ว่า “ทุก ๆ ครั้งที่เราจะขายหุ้น ให้ลองมองเงินสดเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ชื่อว่า CASH แล้ววิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ อาจจะเป็นการยับยั้งชั่งใจก่อนที่เราจะขายหุ้นทิ้งไปได้” .. ข้อดีของ CASH คือ ราคาไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง .. แต่ข้อเสียก็คือจ่ายปันผลน้อย และไม่ได้ Capital Gain เช่นเดียวกัน .. ”


น่า จะมีคนเคยอ่านกันมาเยอะ คนไม่เคยอ่านก็คงมีอมยิ้มกันบ้าง (จำได้ว่า อ่านครั้งแรกผมหัวเราะเลย เพราะถูกใจมาก 555 แล้วก็อุทานด้วยเสียงดังๆว่า เออ จริงว่ะ ไม่เคยคิดเลย )
...

ส่วนดร.นิเวศ มีทัศนคติที่น่าจะใกล้เคียงกัน ที่เขียนบทความว่า เราควรถือหุ้นอยู่ในพอร์ทร้อยเปอร์เซ็นต์
ลองอ่านบทความดร.นิเวศ ที่เขียนเหตุผลของการถือหุ้น เต็มร้อย
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2010/04/05/830
ใครไม่ชอบอ่านเยอะ ๆ ก็รีวิวสั้นๆให้แล้วกัน สรุปว่า


ข้อแรก หุ้นนั้น ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีและน่าจะดีที่สุดในบรรดาการลงทุนในตราสารการเงิน
ข้อสอง ผม ไม่มีความเสี่ยงที่จะมีเงินไม่พอใช้จ่ายในยามที่มีอายุมากขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นเงินฝากหรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อย นิดแต่อย่างใด
ข้อสาม ถ้าไม่มองในด้านของอายุหรือระยะเวลาใน การลงทุน แต่ดูที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบันก็จะพบว่ามันต่ำมากจนไม่คุ้ม กับอัตราเงินเฟ้อ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ต่ำกว่า 1% ต่อปีนั้น ยิ่งเราเก็บไว้นานเราก็ยิ่ง “ขาดทุน”
เหตุผลข้อสุดท้ายของการถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น เป็นเรื่องที่ว่า มันมีโอกาสที่จะทำให้เรา “รวย” ได้ โดยที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เหนื่อย



ในเชิงวิชาการ ผมเจองานวิจัยที่น่าสนใจ มี บทความหนึ่งใน Schwab เรื่อง The Biggest Mistake You Can Make ได้แสดงกราฟแท่งดังภาพ



Opportunity lost. The opportunity cost can be substantial if you miss the best days by staying on the sidelines. During the past 10 years ending December 31, 2007, missing the best 10 days of the S&P 500 (that's 10 out of 2,517 total trading days) would have reduced your annual return from 5.9% to 1.1%—even less than the return of risk-free 30-day U.S. Treasury bills. Adding transaction costs would have reduced your return even further.

ขอสรุปย่อๆว่า

ถ้า ได้มีการลงทุนในหุ้นดัชนี S&P 500 index ตลอดตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปี 2007 โดยไม่มีการซื้อขายหุ้นกลับคืนเลย โดยเฉลี่ย จะได้ผลตอบแทนประมาณ 5.9%
.ในขณะถ้ามีการซื้อขายหุ้นเข้าๆออกๆแล้วพลาด ช่วง peak bull market ไป 10 วัน 20 วัน 30 วัน และ 40 วัน ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นก็จะติดลบลงไปเรื่อยๆ ดังภาพกราฟแท่งนั้น


ขออีกบทความหนึ่ง ของ The street บทความเรื่อง questioning the Buy-and-Hold Strategy
ก็ แสดงข้อมูลสนับสนุนคล้ายกัน โดยถ้ามีการลงทุนในกองทุนที่เรียกว่า S&P 500 fund ตลอดเวลาในปี 1990 จะได้ผลตอบแทนที่สูงสุด ในขณะที่ถ้าในปีนั้นเราพลาดช่วงตลาดกระทิงไป 10 และ 20 วันที่ดีที่สุด ก็จะได้ผลตอบแทนลดหลั่นกันไปตามลำดับ
Missing Out



Olson points out that an investment in the S&P 500 would've averaged a 14.8% annualized gain in the 1990s. But if you'd missed the 20 best trading days, admittedly an abstract scenario that ignores the benefits of missing the worst trading days, your returns would be cut to 7.1% -- more than a 50% drop.

ขอตีความตามความเข้าใจของผมเอง (ต่อยอดเพิ่ม) คือ..
1.เรา ไม่ทราบหรอกว่า ตลาด ณ ช่วงเวลานั้น จะมี Peak bull market หรือเปล่า ดังนั้นกลยุทธ์ Buy-and-Hold เราจะได้สัมผัส peak bull market นั้นได้ด้วย
2. .ในแง่ของพฤติกรรมการลงทุน ถ้าเรามีการเข้าๆออกๆ ทำให้เราสูญเสียกำไรจากต้นทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชั่น การstop loss หรือการพลาดโอกาสที่ตลาดเป็นกระทิงใน
...

ปล.
ผมยังมี Fully invest อยู่อีกสองตอน ที่มีแง่มุมในเชิงวิจัยทางวิชาการ ที่น่าสนใจ (ที่ผมอยากเขียนต่อ 555)
-คำว่า fully invest นั้นไม่ได้แปลว่า ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว ที่จะให้ผลตอบแทนได้สูงสุด
-แม้ลงทุนในหุ้นเต็มร้อย แต่ก็ต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม มีหลายๆ Guru ได้มีแนวทางอย่างไรบ้าง





Create Date : 01 สิงหาคม 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น