ads head

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

หุ้นถูกและหุ้นแพง ในมุมมองของนักลงทุนที่มีแนวความคิดในการเลือกซื้อหุ้นที่ต่างกัน

หุ้นถูกและหุ้นแพง ในมุมมองของนักลงทุนที่มีแนวความคิดในการเลือกซื้อหุ้นที่ต่างกัน

ที่มาhttp://www.bloggang.com/mainblog.php?id=shareidea
บาง คนเชื่อว่า หุ้นแพงวันนี้จะเป็นหุ้นถูกในวันข้างหน้า เพราะเชื่อว่า หุ้นเหมือนเครื่องจักรปั่นเงิน หากเราซื้อเครื่องจักรปั่นเงินที่ดีในราคาที่ไม่แพงเกินควรหรือราคายุติธรรม เครื่องจักรนี้จะทำงานปั่นเงินให้กับเราเป็นเวลานานและคุ้มค่ากับเงินที่ เสียไป

บางคนเชื่อว่าซื้อหุ้นถูก ๆ ไว้ก่อน เพราะเชื่อว่า หุ้นที่ถืออยู่หากถือ Asset จำนวนมากไว้ และเราสามารถซื้อได้ราคาถูกกว่าราคาประเมินของสินทรัพย์ที่ถือครองเป็นต้น ยิ่งถูก ๆ มาก ๆ ยิ่งน่าสนใจ แต่ลืมไปว่า เราไม่ใช่โรงรับจำนำ ที่รับสินทรัพย์ราคาถูก ๆ มา และเมื่อไม่มีใครมาเอาของที่จำนำไว้คืน เราก็ค่อยปล่อยขายในท้องตลาดต่อไป เพราะความเป็นจริง ถ้าหุ้นถูก ๆ เหล่านี้ไม่มี story ปลดล้อคมูลค่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ปล่อยสินทรัพย์นั้นออกมา หุ้นก็คงเป็นหุ้นที่ราคาถูก ๆ ต่อไปนานแสนนาน ตราบเท่าที่จะมีผู้ถือหุ้นรายอื่นที่สามารถเข้าไป Takeover แล้วปรับเปลี่ยนการบริหารงานใหม่ จนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มนั้น ๆ หรือซื้อหุ้นนั้นแล้วเอาทรัพย์สินไปขายในท้องตลาดแล้วเอากำไรของทรัพย์สินมา แบ่งกันครับ

มาอ่านแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ดูครับ

3 ข้อของชาร์ลี ที่เตือนในการลงทุนในหุ้นครับ

Value Investor จำนวนมากหรือน่าจะเป็นส่วนใหญ่ ชอบที่จะซื้อหุ้นที่มีราคาถูกมาก โดยที่คุณภาพของธุรกิจเป็นตัวรอง การลงทุนแบบนี้คือการลงทุนในสไตล์แบบเกรแฮมหรือที่บัฟเฟตต์เรียกว่าลงทุนแบบ “หุ้นก้นบุหรี่” แนวคิดก็คือ ถ้าหุ้นมีราคาถูกมาก โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นมากก็เป็นไปได้ง่าย และเมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปแล้ว เราก็สามารถขายทำกำไรและนำเงินไปลงทุนในหุ้นก้นบุหรี่ตัวต่อไป การลงทุนแบบนี้บางทีเราก็รู้สึกว่าสามารถทำกำไรได้มากและเร็วกว่าการลงทุนใน สไตล์แบบบัฟเฟตต์ที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีและถือไว้ให้นานที่สุด เหตุผลก็คือ เราคิดว่าเราสามารถ “เล่นรอบ” กับหุ้นก้นบุหรี่ได้ ในขณะที่หุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดีมากนั้น ราคาก็มักจะแพงหรือไม่ถูกมาก การปรับตัวของราคาหุ้นก็มักจะไปอย่างช้า ๆ หรือถ้าเร็วเราก็มักจะกลัวและต้องขายหุ้นทิ้งไปเสียก่อน สรุปแล้ว เรารู้สึกว่า ประเด็นของคุณภาพของกิจการไม่ใช่เรื่องใหญ่ ราคาหุ้นต่างหากที่เป็นตัวตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา

ประเด็นว่าเราควร ซื้อหุ้นแบบไหนหรือการลงทุนสไตล์ไหนดีกว่ากันนี้ ชาร์ลี มังเกอร์ หุ้นส่วนและเพื่อนซี้ของบัฟเฟตต์ ได้ให้กฎการลงทุนที่เป็นเหมือนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ 3 ข้อ สำหรับการลงทุน และบทเรียนนี้ ว่าที่จริง เป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์ได้เรียนรู้จากชาร์ลีและนำมาใช้ปฏิบัติในการ ลงทุนของตนเองมาจนถึงปัจจุบันจนคนทั่วไปรับรู้กันว่านี่คือสไตล์การลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ บทเรียน 3 ข้อของชาร์ลีก็คือ

1)ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในราคาปานกลางนั้น เหนือกว่าธุรกิจปานกลางในราคาที่ยิ่งใหญ่
2)ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในราคาปานกลางนั้น เหนือกว่าธุรกิจปานกลางในราคาที่ยิ่งใหญ่
3)ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในราคาปานกลางนั้น เหนือกว่าธุรกิจปานกลางในราคาที่ยิ่งใหญ่

ความหมายก็คือ สำหรับชาร์ลีแล้ว เขาคิดว่า คุณภาพของธุรกิจสำคัญกว่าเรื่องของราคา
แน่ นอน ราคานั้นต้องไม่แพงแต่ไม่จำเป็นต้องถูก เพราะบางทีกิจการที่ดีมากนั้น โอกาสที่จะได้หุ้นราคาถูกอาจจะไม่มีหรือถ้ามีก็มักจะเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วง ที่บริษัทมีปัญหาร้ายแรงบางอย่าง ซึ่งถ้าปัญหานั้นสามารถแก้ไขได้ นั่นก็จะเป็นโอกาสทองที่เราจะได้ซื้อหุ้นของกิจการที่ยิ่งใหญ่ในราคาถูกและ นี่ก็คือสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำตลอดมาเมื่อมีโอกาส ชาร์ลีเชื่อว่า การซื้อหุ้นของกิจการที่ยิ่งใหญ่ในราคาที่เหมาะสมนั้น ดีกว่าการซื้อหุ้นของกิจการพื้น ๆ ในราคาที่ถูกมาก เพราะหุ้นประเภทหลังนั้น ถึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ก็มักจะไปไม่ได้มาก เพราะศักยภาพของธุรกิจมักมีจำกัด ยิ่งถือไว้นานก็ยิ่งเสียโอกาสที่เงินจะเติบโตขึ้น แม้ว่าหุ้นจะราคาถูก แต่มันก็อาจจะถูกอยู่นั่นเอง

ในประเด็นเดียวกันนี้ บัฟเฟตต์เองก็เคยพูดไว้ว่า “เป้าหมายของคุณในฐานะของนักลงทุนก็คือ คุณควรซื้อหุ้น ในราคาที่สมเหตุผล เพื่อเข้าเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย ที่มีกำไรและผลกำไรจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอนและอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5, 10 และ 20 ปีจากวันนี้”

คำพูดของบัฟเฟตต์สอดคล้องกับบทเรียนของ ชาร์ลีที่ว่า เราควรซื้อหุ้นของกิจการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในความหมายของบัฟเฟตต์ก็คือ ควรเป็นกิจการที่เข้าใจได้ง่าย กำไรต้องเติบโต อย่างแน่นอน และเติบโตต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนราคาหุ้นนั้น จะต้องมีราคาที่เหมาะสม

จากการติดตามธุรกิจที่ บัฟเฟตต์และชาร์ลีลงทุนนั้น เราพบว่า กิจการที่ “ยิ่งใหญ่” ในความเห็นของทั้งสองคนนั้นมักจะมีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นมาอีก 3 – 4 ข้อ ที่ชัดเจนก็คือ ธุรกิจจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน” เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งมักจะมาจากการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่โดดเด่น ระดับโลก ต้องมีผู้บริหารที่ดี ถ้ามองที่ตัวเลขงบการเงิน เราก็มักจะพบว่า กิจการที่เขาลงทุนมักจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ ผลกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างสูง อย่างน้อยน่าจะ 15% ขึ้นไป ธุรกิจมักจะไม่ค่อยต้องลงทุนมากนักเวลายอดขายเพิ่มขึ้น พูดง่าย ๆ ธุรกิจต้องไม่เพิ่มทุน ว่าที่จริงกิจการที่บัฟเฟตต์ลงทุนนั้นมักจะ “คืนทุน” คือบริษัทมักจะซื้อหุ้นคืนทำให้จำนวนหุ้นน้อยลงและกำไรต่อหุ้นสูงขึ้น

ทั้ง หมดนั้นก็คือ บทเรียนของชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งไม่ใช่นัก “นักคิด-นักลงทุน” อย่าง เบน เกรแฮม หรือ ฟิลิปส์ ฟิสเชอร์ ที่บัฟเฟตต์ยอมรับนับถือเป็นอาจารย์ แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาร์ลี มังเกอร์ คืออีกคนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดในการลงทุนของบัฟเฟตต์อย่างลึกซึ้ง และอาจจะพูดได้ว่า เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการปรับสไตล์การลงทุนของบัฟเฟตต์จากแนวทางของ เกรแฮมมาเป็นแนวของบัฟเฟตต์ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้

สำหรับ Value Investor ในเมืองไทยนั้น วิวัฒนาการการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเรายังเป็นเรื่องใหม่ คงจะยังไม่ได้สามารถบอกได้ว่าสไตล์การลงทุนแบบไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด นักลงทุนแต่ละคนคงจะต้องเลือกกันเองและเรียนรู้เองว่าตนเองทำได้ดีในสไตล์ ไหน ที่สำคัญก็คือ เราควรจะต้องตรวจสอบตลอดเวลาว่าสถานการณ์การลงทุนในบ้านเราเป็นอย่างไร เราจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้…อย่างช้า ๆ และนั่นคือแนวทางที่ถูกต้องของ Value Investor แม้ในระดับโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น