ads head

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

เวลาที่น่าซื้อหุ้นที่สุด

 เวลาที่น่าซื้อหุ้นที่สุด

 ที่มา http://www.dooqo.com/detail_page.php?sub_id=2180
   หากคุณเป็นนักเล่นหุ้นแบบนักลงทุน คือ เลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี รับรองจะไม่ขาดทุน ยิ่งคุณไม่ได้ใจร้อนด้วยแล้ว โอกาสกำไร แบบซื้อเพียงปีละ 2-3 ครั้ง แบ้วได้ผลตอบแทน 20% ขึ้นไป ไม่ใช่เรื่องยากเลย โอกาสดีๆ ในการซื้อหุ้นมักมีให้เห็นปีละ 4-5 ครั้ง เพพียงคุณสังเกต และซื้อไว้สัก 2 ครั้งต่อปีก็เห่งแล้ว โดยโอกาสที่น่าซื้อ มีดังนี้


1. วิกฤตในตลาดหุ้น คือโอกาสในการซื้อ : สำหรับผู้ที่เป็นผู้ลงทุนระยะยาว ในหุ้นพื้นฐานดีๆ หากมีวิกฤตในตลาดหุ้น ซึ่งจะสังเกตได้จาก
  • ดัชนีตลาดหุ้นลงแรงๆ ติดต่อกัน และยิ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับความเลวร้ายของตลาดหุ้นตาม นสพ. ยิ่งดี
  • มีแต่คนบ่นว่าขาดทุน กลัวที่จะเล่นหุ้น และขายหถุ้นกันออกมาแบบถอดใจ
  • หุ้นพื้นฐานดีอย่างหุ้น SET50 มีราคาที่ถูกลงกว่าปกติ
หากคุณเห็นเช่นนี้ นี่คือโอกาสในการซื้อของมูลค่า 10 บาทในราคาเพียง 5 บาท เรียกว่า "ตลาดหุ้น Grand Sale" ปีหนึ่งมีอยู่ 1-2 ครั้งเท่านั้น อย่าพลาดที่จะเข้าไป shopping บริษัทดีๆ หุ้นดีๆ ราคาถูกๆ แล้ว ถือสัก 6 เดือน รับรองจะกำไรแน่นอน
2. ช่วงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา : ปกตินักลงทุนต่างชาติจะโยกเงินเข้ามาไม่บ่อย ปีหนึ่งจะมีจังหวะที่เข้ามาเยอะเพียง 3-4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไป 10% และหุ้นขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มพลังงาน และธนาคารจะปรับตัวขึ้นไป 15% หากเป็นการที่เข้ามาต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์ วิธีสังเกต
  • ดูรายงานการซื้อขายแล้ว นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิวันเดียวเกิน 2,000 ล้าน ติดต่อกัน 2 วัน  (เริ่มมาแล้ว)
  • ราคาดัชนีหุ้นในภูมิภาค (เช่น สิงค์โปร, ฮ่องกง, อินโดนีเซีย, ปรับตัวขึ้นเหมือนกับไทย วันละ 1-2%
  • ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น
  • หุ้นขนาดใหญ่ ปรับตัวขึ้น พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าปกติ
หากคุณเจอสัญาณแบบนี้ เรียกว่าต้องรีบเอาเรือลงน้ำ แล้วพายตามกระแสไปให้ไกลที่สุดก่อนกระแสน้ำจะหยุด ซึ่งต้องคอยสังเกตแรงซื้อของต่างชาติเอาไว้ให้ดี โดยปกติจะซื้อต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์
3. ช่วงที่เศรษฐกิจไทย พลิกฟื้นจากแย่กลายมาเป็นเติบโต : ในปีนั้นจะกลายเป็นปีทองของการเล่นหุ้น เช่นในปี 2546 ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปปีเดียว 108% (เฉลี่ย) โดยมีหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้น 500-800% (5-8 เท่า) ภายใน 1 ปีมีอยู่หลายตัว หุ้นเกือบทุกตัววิ่งขึ้นไปอย่างน้อย 20% โอกาสแบบนี้ ไม่ใช่แค่เงินออมเติบโต แต่ต้องเรียกว่า "รวย" ดังนั้นลองสังเกตเอง จากสภาพเศรษฐกิจทั่วไป หากตอนนี้มันแย่ๆมากๆ ต้องคอยติดตามตลาดหุ้นอยู่ห่างๆ รอเมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มดี นี่แหละความรวยใกล้มาเยือนแล้ว
หากปีใดๆ คุณสามารถจับจังหวะของโอกาสดีๆ ที่เข้ามาได้แล้ว โอกาสกำไรต่อปีอย่างน้อย 20 % ก็ไม่ยากเลย แต่หากจับจังหวะใหญ่ๆ แบบนี้ไม่ได้ก็ต้องลงทุนระยะยาวไป หรือเล่นในจังหวะเล็กๆไปบ้าง ซึ่งอาจจะมีการลงทุนในจังหวะที่แน่นอน ตามปฏิทินหุ้น เป็นฤดูๆ ดังนี้
1. ฤดูฝรั่งเข้า : คือการซื้อหุ้นช่วงปลายปี หวังขายตอนมกราคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งช่วงต้นปี มักจะเป็นฤดูที่มีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามา ทำให้ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปได้ และมันก็เป็นแบบนี้มาหลายปีติดต่อกันแล้ว โดยหากลงท่านจะลงทุนแบบนี้ให้เลือกหุ้นที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่าง ชาตินิยม เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหลัก
2. ฤดูปันผล :  หุ้นเกือบทั้งหมดในตลาดหุ้น จะปันผลประจำปีในช่วง มี.ค.-พ.ค. สำหรับงวดบัญชีของปีที่ผ่านมา ดังนั้น โอกาสในการซื้อหุ้นที่จะปันผลสูงๆ แล้วได้ราคาไม่แพง คือเดือน พ.ย.-ธ.ค. เพราะนักลงทุนส่วนมากยังไม่อยากซื้อตอนนั้น  เพราะมันต้องรออีกนาน 4-6 เดือน นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเป็นพวกใจร้อน ชอบรวยใน 1 สัปดาห์ ดังนั้น ให้พวกนั้นมาซื้อในช่วงก่อนปันผล จะทำให้ราคาหุ้นที่เราซื้อปรับขึ้นไปอีก เรียกว่า ได้ทั้งส่วนต่างราคา และได้เงินปันผลด้วย โดยหุ้นที่ปันผลมากๆ ในตลาดจะมีตั้งแต่ 10-20% ต่อปี เรียกว่า มากกว่าเงินฝากเสียอีก ส่วนจะเป็นตัวไหน ให้โทรไปถามมาร์เก็ตติ้งได้เลย เขาจะมีข้อมูลไว้ให้
3. ฤดูอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล : ผมคาดการณ์ว่า รัฐบาลของไทยในอนาคต คงเป็นรัฐบาลผสมไปอีกหลายสมัย ทำให้ความมั่นคงคงไม่มาก ดังนั้น ฤดูอภิปรายมักเริ่มตั้งแต่ เดือน พ.ค. ซึ่งหุ้นน่าจะตกลงมาสัก 10% ในช่วงการสร้างข่าวลบต่อรัฐบาล แต่อภิปรายทีไรผ่านได้ทุกครั้ง
++++++++++++++++++++
อัพเดตโดย : กองบรรณาธิการ
 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553
editor@dooqo.com




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น