วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน
พูดอย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี ถาม
ว่า เงินถ้าอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม
วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน
แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม
เพียง
แต่ว่า เงินก้อนนั้น ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม
ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร เรามักจะพูดกันว่า
ถ้ามีเงินเป็นล้านจะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาท
นับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน ,
ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ, ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1
ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย
ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา
1.เป็นเจ้าของกิจการ
ใครๆ
ก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่
จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70% และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปี
ได้เพียง 3-5% เท่านั้น
แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่
ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด
มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร
สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
ยอดขาย - ต้นทุนคงที่ - ต้นทุนแปรผัน = กำไร
เพื่อทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนึ่งหากมี ยอดขายต่อเดือนที่ 1
ล้านบาท จะมีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น
หากเจ้าของธุรกิจจะมีกำไรเขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน
ถ้ายอดขายต่ำกว่า 1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท
ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น
1.5เท่าของเดิมซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท
แต่ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท
ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท
เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท - 1,400,000 = 1,600,000บาท
ใน
ทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ
800,000 บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท
เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ500,000 - 900,000 = -400,000 บาท
ตัว
เลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้
และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป
แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว
พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง
หากสร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงินสด 10 ล้านบาท
จึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้
ปัจจุบัน
พบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น
เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์
เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร
ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ คงจะไม่มีใครว่าอะไร
เพราะอยู่ในกรอบอยู่ในเกณฑ์
แต่
ถ้าใช้วิธีสร้างข่าวสร้างภาพให้หุ้นตัวเอง ด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน
,ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝันแล้วขายออก
เป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง
คน
ขายรับเงินล่วงหน้าในอนาคตของประมาณการ ยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม
(GOOD WILL) ต่างๆที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว
ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทนว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์
ขายฝันให้หรือเปล่า
2.เป็นผู้บริหารระดับสูง
สมัย
ก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก
พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจนจบด๊อกเตอร์
สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับเงินเดือน 80,000 -
100,000 บาท แต่ไม่รวย
สมัย
นี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง
สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น
จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ
5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ
รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร
บริษัทใหญ่ๆระดับประเทศ การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 200,000 -
500,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก
และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบอร์ดของบริษัทในเครืออีกสัก 4-5 แห่ง
รับเบี้ยประชุมเพิ่มอีกแห่งละ 300,000 - 1,000,000
บาทต่อปีก็มีให้เห็นมากมาย
บางบริษัทใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรตามยอดขาย หากว่าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ช่วง
เศรษฐกิจรุ่งเรือง บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายใหม่สูงสุด
ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกันหลายคนได้โบนัสถึง 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน
อีกช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ผู้บริหารคือ (ESOP / EMPLOYEESTOCK OPTIONPLAN)
ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงาน
บริษัท เพื่อจูงใจให้เร่งสร้างกำไร ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า
70% มักมอบให้กับผู้บริหาร 5-6 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10
ล้านหุ้น
ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไรจนทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาสิทธิ
5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะมีกำไรคนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว
นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้
3.เป็นนักขายตรง
คน
ไทยมักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย
ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า
ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานมาจากขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน
งาน
ขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด
มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30%ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ
ยกเว้นงานขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก
ส่วน
ผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ
30%ของค่านายหน้าของลูกทีมซึ่งน่าจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม
ลองนึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้า จะสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน
4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ
เราคงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ,สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5-10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาได้ตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา
5.เป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
ถึงแม้เราจะเป็นคนธรรมดา มีอาชีพแค่เป็นลูกจ้าง เป็นคนกินเงินเดือน
เราก็สามารถเป็นเศรษฐีได้เหมือนกันถ้าเราเก็บเงินเก่ง รู้จักช่องทางลงทุน
และลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สมมติว่าเราเก็บเงินได้เดือนละ10,000 บาท ปีละ 120,000 บาทเก็บได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง แล้วเรานำเงินนี้ไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมชนิดต่างๆ หากคุณสามารถทำกำไรได้เฉลี่ยปีละ 15 % ผ่านไป 20 ปีเงินของคุณจะงอกเงยมาเป็น 14 ล้านบาท
แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนถึงปีละ 20 % อีก 20ปีข้างหน้า
เงินของคุณจะกลายเป็นเงิน 27 ล้านบาท ถึงตอนนั้น
คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีเหมือนกับเขา
ที่เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า
เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้
ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย แต่
คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ
ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น