หนี้เสีย
คำถามที่จะถามก็คือว่าเราทำอะไรกันบ้างกับสินทรัพย์ของ
ธนาคารที่ส่อแววว่า
กำลังจะมีปัญหาเกิดขึ้นในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจเริ่มต้นขึ้น
ตราบใดที่ตลาดสินเชื่อยังคงเลวร้ายต่อไปเรื่อยๆ
และตราบใดที่สินทรัพย์ที่สถาบันการเงินได้มาจากการปล่อยสินเชื่อยังคมมี
มูลค่าลดลงต่อไปไม่หยุด
ธนาคารก็ไม่สามารถที่จะปล่อยกู้เพิ่มเติมได้หรือแม้ว่าจะยังคงกระทำได้
สถาบันการเงินก็จะเลือกที่จะไม่ปล่อยกู้เพิ่มเติมเพราะกลัวว่าจะกลายเป็น
หนี้เสียตามมาในภายหลัง
แทนที่จะปล่อยให้ธนาคารต้องต่อสู้ดิ้นรนหาทางออกให้กับหนี้เสียที่เกิดขึ้น
ด้วยตัวเอง ให้ระบบแก้ไขตัวเองไปตามธรรมชาติของมัน
ผู้กำหนดนโยบายก็จะออกมาตรการต่างๆมาชุดหนึ่งเพื่อดึงหนี้เสียออกจากระบบ
ทำให้ระบบธนาคารสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าได้อีก
ครั้งหนึ่ง
สูตรสำเร็จที่ภาครัฐนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสถาบันการ
เงินก็คล้ายๆกับการผ่าตัดครั้งใหญ่ที่สุดแสนจะเจ็บปวดนั่นคือ
การแยกธนาคารที่ประสบปัญหาออกมาเป็น 2 ธนาคารเป็น good bank กับ bad bank
สินทรัพย์ที่ยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาก็เอาไว้กับ good bank ส่วนหนี้เน่า
สินทรัพย์ที่มีปัญหาก็เอาไปไว้กับ bad bank เมื่อมีการแยกหนี้เสียออกมา
good bank ก็สามารถดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อต่อไปได้ มีความน่าในใจ
สามารถดึงดูดเงินฝาก เงินทุนได้
ราคาที่ธนาคารต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากมาตรการกำจัดหนี้เสียออกจากระบบ
บัญชีของธนาคารเพื่อให้ธนาคารดำเนินธุรกิจต่อไปได้นั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่
ค่อนข้างแพงที่ผู้ถือหุ้นของธนาคารและเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันต้องกล้ำ
กลืนฝืนทน ตัดใจ ตัดหนี้สูญในส่วนนี้ไป คือ
ในส่วนที่เป็นหนี้เสียที่ธนาคารต้องยอมตัดขายขายทุนสินทรัพย์ในส่วนนั้นให้
กับ bad bank ในทางกลับกัน bad bank
หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เอกชนเป็นผู้จัดตั้งขึ้นก็สามารถทำกำไรได้จาก
สินทรัพย์ที่ธนาคารประมูลซื้อมาในราคาถูกๆนั่นเอง
มาตรการในทำนองนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากปี 1988
เมื่อธนาคารเมลลอนมีปัญหาขาดความน่าเชื่อถือ
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่ออสังหาริมทรัพย์ในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารซึ่งปล่อยกู้ให้
กับภาคอุตสาหกรรมกลายเป็นหนี้เสีย
ธนคารเมลลอนใช้เงินที่ได้มาจากธนาคารเพื่อการลงทุนดึงสินทรัพย์ที่สงสัญว่า
จะเสียออกจากบัญชีทรัพย์สินของธนาคาร
โยกสินทรัพย์ด้งกล่าวไปไว้ในบัญชีของธนาคารใหม่ที่ธนาคารจัดตั้งขึ้นมาซึ่ง
มีชื่อว่า the Grant Street National Bank
นักลงทุนทั่วไปที่ชื่นชอบความเสี่ยงใส่เงินลงทุนของตนเองลงไปในธนาคารใหม่
นี้ พนักงานที่ทำงานกับ bad bank
ดังกล่าวมีหน้าที่กว้านซื้อสินทรัพย์มีปัญหา ประเมินราคาสินทรัพย์
และทำกำไรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จากสินทรัพย์เสียที่ประมูลซื้อมา
เมื่อธนาคารเมลลอนปลดเปลื้องสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไปได้
ธนาคารเมลลอนก็ฟื้นคืนชีพ กลับมาดำเนินธุรกิจ
ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้อีกครั้งภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อธนาคาร the
Grant Street National Bank ขายสินทรัพย์หมดในปี 1995
ธนาคารดังกล่าวก็เลิกกิจการไป
นี่เป็นมาตรการที่ดีที่สุด
มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
วิธีการอื่นๆที่เป็นทางเลือกที่ดีน้อยกว่าก็คือการผลักภาระให้กับภาครัฐ
ให้รัฐเป็นผู้รับซื้อหนี้เสียของธนาคารอย่างที่ TARP ดำเนินการอยู่ ราคาที่
TARP จะต้องจ่ายเป็นไปตามระบบที่เรียกว่า “reverse auction”
คือผู้ขายจะเสนอราคาขายที่ต่ำที่สุดที่ตนเองยอมรับได้ให้กับ TARP
เพื่อกำจัดหนี้เสียออกจากระบบบัญชีของธนาคาร
ผลของการตั้งราคาซื้อขายดังกล่าวคือทำให้สินทรัพย์มีราคาลดต่ำลง
วิธีดังกล่าวก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ
แต่วิธีการบริหารสินทรัพย์ในลักษณะนี้นั้นเป็นวิธีการที่นำมาซึ่งราคา
สินทรัพย์ที่เป็นธรรมจริงๆหรือ ธนาคารที่เข้าร่วมการประมูลก็รู้
ก็เห็นกันอยู่ว่าราคา/มูลค่าสินทรัพย์นั้นมีแนวโน้มว่าจะลดต่ำลงไปเรื่อยๆ
แล้วทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็รวมหัวกันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรใดๆทั้ง
สิ้นในเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นสินทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
ที่จะเกิดประโยชน์ได้ก็แต่เฉพาะกับผู้ถือครองหลักทรัพย์/สินทรัพย์ที่เป็น
สถาบันการเงินเท่านั้น
และสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งก็คืออำนาจในการต่อรองราคาสินทรัพย์
เพื่อให้ได้ราคารับซื้อสินทรัพย์ที่ต่ำที่สุดนั้น
รัฐบาลสามารถต่อรองกับสถาบันการเงินได้มากน้อยแค่ไหน
ราคาที่ซื้อได้สูงเกินจริงหรือไม่
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหากเหตุการณ์ดำเนินไปในลักษณะดังกล่าวจริง
รัฐบาลก็จะต้องขาดทุนจากเม็ดเงินที่ควักกระเป๋าออกไปรับซื้อหนี้เสียเหล่า
นั้น และเมื่อความช่วยเหลือดังกล่าวสิ้นสุด
การตัดสินใจเข้าซื้อหนี้เสียของรัฐบาลเพื่ออุ้มสถาบันการเงินดังกล่าวก็จะ
กลายเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงด้วยเงินภาษีที่เก็บมาจากผู้เสียภาษีอากร
ชาวอเมริกันนั่นเอง ประชาชนจึงเป็นผุ้เสียหายตัวจริง
ทางเลือกอื่นมีอีกมั๊ย มีครับ เช่น
การกำหนดรูปแบบของการที่ภาครัฐจะเข้าไปเป็นผู้ค้ำประกันให้กับธนาคารที่
ประสบปัญหา ประมาณว่าธนาคารมีหนี้เสียอยู่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารก็อาจจะยินยอมให้หักส่วนลดสัก 3 พันล้านดอลลาร์เป็นหนี้สูญ
แล้วให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลหนี้ในส่วนที่เหลืออีก 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์
แลกกับการค้ำประกันสินเชื่อของภาครัฐด้วยการยอมเสียเงินไป 3
พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าพรีเมียมที่ธนาคารจ่ายให้กับรัฐบาลที่เข้ามาช่วย
ค้ำประกันหนี้ที่มีมูลค่าลดลงมาเหลือ 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ให้
ทางเลือกอื่นก็ยังมีอยู่อีก
อย่างเช่นการให้รัฐเลือกรับผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ของธนาคาร
ที่มีมูลค่าเท่ากับ 3
พันล้านดอลลาร์ที่ธนาคารจะต้องตัดหนี้สูญในส่วนนี้ออกไป
วิธีการในแบบหลังๆนั้ก็คือวิธีการที่มีการนำมาประยุกต์
ใช้กันในสหราชอาณาจักร
และรัฐบาลสหรัฐก็นำมาใช้ต่อด้วยการให้การค้ำประกันมูลหนี้มูลค่าหลายแสนล้าน
ดอลลาร์ให้กับสินทรัพย์เสี่ยงของ Bank of America และซิตีกรุ๊ป
คราวนี้เราลองมาดูกันว่าในทางปฏิบัตินั้นผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ในกรณีของแบงค์ออฟอเมริกานั้น หนี้เน่าของธนาคารมีมูลค่าประมาณ 1.18
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการตัดหนี้สูญออกไปประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังการให้ความช่วยเหลือครั้งแรกแบงค์ออฟอเมริกาก็ตั้งหลักได้
ธนาคารต้องตัดหนี้สูญไปร้อยละ 10 ของมูลหนี้ทั้งหมด
ส่วนหนี้ที่เหลืออยู่อีกร้อยละ 90 นั้นได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล
โดยรัฐบาลสหรัฐได้รับผลตอบแทนเป็นหุ้นจำนวนมหาศาลในธนาคารซึ่งมีมูลค่าเท่า
กับจำนวนเงินที่รัฐบาลใส่เข้าไปช่วยเหลือนั่นเอง
ส่วนวิธีการ reverse auction
นั้นกลับเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากกว่า
ซึ่งรัฐบาลก็ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงว่าความช่วยเหลือที่ให้ไปนั้นจะ
เกิดความเสียหายขึ้นมาหรือไม่ ในกรณีของแบงค์ออฟอเมริกา
รัฐบาลอาจตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้นั้นน่าจะไม่
มากไปกว่าสิ่งที่แบงค์ออฟอเมริกาได้จ่ายให้กับรัฐบาล(หุ้นในธนาคาร)
แต่หากว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นว่าสูงกว่าที่รัฐบาล
ได้คาดการณ์กันไว้แล้ว
รัฐบาลก็จะต้องแบกรับภาระความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการประมาณการณ์ที่
ผิดพลาดนั้นตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้
ผลสุดท้ายก็คือว่ารัฐบาลได้จ่ายเงินภาษีอากรของประชาชนไปให้กับแบงค์ออ
ฟอเมริกาสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่รัฐบาลได้รับมาเป็นการตอบ
แทน รัฐบาลก็จะขาดทุนจากการลงทุนในครั้งนี้
เสียเงินงบประมาณไปกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของธนาคารเอกชน
สุดท้ายแล้วภาระทั้งหมดก็ตกอยู่กับประชาชนผู้เสียภาษีอีกนั่นเอง
ผู้เสียหายตัวจริง
ในปัจจุบันปัญหาของข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาหนี้เน่านั้น
ดูเหมือนว่าจะกำลังดำเนินไปบน แนวทางในอีกรูปแบบหนึ่ง
โดยยืนอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่ารัฐบาลเห็นด้วยกับการให้ความช่วยเหลือ
ทางการเงินแก่นักลงทุนภาคเอกชนที่ตกลงรับซื้อหนี้เสียไว้แล้วดึงหนี้เสีย
ก้อนดังกล่าวออกจากระบบบัญชีของธนาคารที่มีปัญหา
นั่นคือแนวคิดพื้นฐานของมาตรการที่เรียกว่า the Public-Private Investment
Program : PPIP “Pee-Pip” ที่รัฐบาลนำออกมาใช้ในปี 2009
มาตรการที่ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีการคิดค้นกันออกมา
เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนับล้านล้านดอลลาร์ที่ปล่อยกู้ให้กับนักลงทุนภาคเอกชนที่
ต้องการเข้าไปประมูลซื้อหนี้เน่าของธนาคาร
แล้วรัฐบาลก็ทำให้ข้อตกลงมันดูดีขึ้นมาหน่อยด้วยการเสนอว่าจะใส่เงินทุนลงไป
ในสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
โชคไม่ดีที่เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำดังกล่าวของรัฐบาลไม่ได้
ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย สถานการณ์ยังคงเลวร้ายต่อไปเช่นเดิม
นักลงทุนสามารถเบี้ยวหนี้ได้โดยที่รัฐไม่สามารถลงโทษอะไรได้เลย
ในทางปฏิบัตินั้นนักลงทุนเองก็มีแรงจูงใจให้ตั้งราคาเสนอซื้อขายที่เกินจริง
เพราะหลังจากการซื้อขายเกิดขึ้นแล้วรัฐบาลก็จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือทางการ
เงิน จ่ายเงินซื้อหนี้เสียเหล่านั้นไปในภายหลัง
ผลก็คือภาคเอกชนเป็นผู้ชนะและได้รับกำไรไปในช่วงที่เศรษฐกิจเดินต่อไปได้
ส่วนภาครัฐก็ต้องแบกรับภาระทางการคลังเอาไว้ในยามที่เศรษฐกิจเกิดปัญหาซึ่ง
ก็คือผู้เสียภาษีนั่นเองที่เป็นผู้เสียหายตัวจริง
ดัง นั้น PPIP
จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้มากนัก
นั่นเป็นเพราะว่ารัฐบาลนั้นมีมาตรการให้ความช่วยเหลือภาคธนาคารด้วยวิธีการ
อื่นที่ได้ผลมากกว่าอยู่แล้ว
ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแลการถ่ายโอนหนี้เสียออกจากระบบบัญชีของ
ธนาคารที่มีปัญหา
เพื่อให้สะท้อนภาพมูลค่าที่แท้จริงของราคาสินทรัพย์ตามราคาตลาด
ซึ่งมาตรการนี้เป็นนโยบายที่ดีที่ช่วยป้องกันการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีของ
สินทรัพย์ให้สูงเกินของของสถาบันการเงินเจ้าของสินทรัพย์
ไม่มีมาตรการอะไรที่ทำออกมาแล้วสมบูรณ์แบบ
เพียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ก็มีบางมาตรการที่ทำออกมาแล้วดีกว่ามาตรการอื่นๆ
โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการแยกหนี้เสียออกมาแล้วถ่ายดอนออกไปไว้กับ bad bank
วิธีการนี้คือวิธีการที่รัฐแบกรับภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาของ
ธนาคารเอกชนไว้น้อยที่สุด ทั้งยังยืนอยู่บนหลักของความถูกต้อง ชอบธรรม
และช่วยให้ธนาคารกลับมามีแรงจูงใจทางธุรกิจ คิดที่จะปล่อยกู้กันอีกครั้ง
แต่การนำมาตรการนี้ออกมาใช้นั้นนักลงทุนต้องยอมแบกรับความเจ็บปวดบ้างอัน
เนื่องมาจากการตัดหนี้สูญ
และการตัดขายสินทรัพย์ออกไปในราคาขาดทุนให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์
ซึ่งในปัจจุบันผู้กำหนดนโยบายและนักการเมืองนั้นไม่ปรารถนาให้เกิดเรื่องแบบ
นั้นขึ้น และออกหน้ามาดำเนินการแทรกแซงระบบด้วยตัวเอง
โชคไม่ดีที่การแทรกแซงของนักการเมืองนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ธนาคารค่อยๆย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ
อาการหนักขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นผีตายซากที่ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยกองหนี้
สาธารณะจำนวนมหาศาลของรัฐบาล
เมื่อเราย้อนกลับไปมอง
ดูเรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลืองบเงินมหาศาลในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ภาครัฐ
พยายามยื้อชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่านี้
ใส่เงินเข้าไปอัดฉีดภาคธนาคารและสถาบันการเงินอื่น
และขยายวงเงินคุ้มครองเงินฝาก
ขณะที่สินเชื่อของธนาคารยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ
รัฐบาลก็ต้องเข้ามาอุ้มช่วยกันต่อไปไม่ให้ตลาดสินเชื่อพังครืนลงไปอีกครั้ง
ธนาคารจึงต้องดำเนินมาตรการซื้อหนี้เสียของธนาคารต่างๆหรือแนวทางอื่นๆโดย
แปลงหนี้ของภาคเอกชนมาเป็นพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความมั่นคง ปลอดภัย
เชื่อถือได้มากกว่าในสายตาของนักลงทุน
รัฐบาลก็ต้องออกมาค้ำประกันหนี้เสียของสถาบันการเงินและออกมาตรการทั้งทาง
ตรงและทางอ้อมเพื่อซื้อหนี้เสียดังกล่าวไว้
เม็ดเงินที่รัฐบาลปูพรมลงมานั้นมากมายมหาศาล
สูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
โชคไม่ดีที่ปัญหาอุปสรรคต่างๆซึ่งรัฐบาลกำลังเผชิญอยู่นั้น
มาตรการให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินของรัฐบาลนั้นช่วยสถาบันการเงินได้
อย่างจะแจ้ง ชัดเจน
แต่กลับไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจขึ้นเลย
ที่มา http://seksanpantu.wordpress.com
ที่มา http://seksanpantu.wordpress.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น