เมื่อความช่วยเหลือทางการเงินเริ่มต้นขึ้น
รัฐบาล
สามารถนำเงินงบประมาณออกมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้
รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ/ค้ำประกันทางการเงินเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้
กับประชาชนโดยทั่วไปก็ได้เช่นเดียวกัน
แต่ก็ต้องตระหนักด้วยเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องแบกรับภาระดังกล่าวเอา
ไว้ก็คือผู้เสียภาษี
ดังนั้นการใช้นโยบายทางการคลังจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ
ให้เกิดความเหมาะสม จัดสมดุลย์ระหว่างการค้ำประกันหนี้เก่ากับหนี้ใหม่
แม้จะสามารถสะกัดยับยั้งวิกฤติครั้งที่ผ่านๆมาให้สงบลงได้
แต่ก็เท่ากับเป็นการเปิดประตูไปสู่ปัญหาเรื่องความมั่นใจ
ความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
โดยมาก
แล้วรัฐมักใช้การค้ำประกันเงินฝากให้กับประชาชนที่ฝากเงินได้กับธนาคารต่างๆ
เพื่อให้การรับรองว่าเงินฝากในบัญชีธนาคารของประชาชนจะไม่ได้รับความเสียหาย
แม้ว่าธนาคารจะถูกปิดกิจการก็ตามแต่
รับรองได้ว่าประชาชนจะยังคงได้รับเงินที่ฝากไว้กับธนาคารที่ถูกปิดกิจการ
นั้นๆคืนมาอย่างแน่นอน
แนวคิดนี้มีที่มาที่ต้องย้อนกลับไปยังศตวรรษที่ 19
ก่อนปี ค.ศ. 1933 คือปี ค.ศ. 1866- 1933
ซึ่งอเมริกายังไม่มีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตราบจนกระทั่งมีสมาชิกสภาคองเกรส
150
คนเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายคุ้มครองเงินฝากเข้าสู่สภาคองเกรสโดยมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อให้ธนาคารซื้อพันธบัตรแบบคุ้มครองเงินต้นของรัฐบาล(surety bond)
โดยมีการให้หลักประกันแก่บุคคลที่ 3
ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ให้
การค้ำประกันเงินฝากในธนาคารโดยตรง
แต่ก็มีบางคนที่เรียกว่าเป็นการตั้งเงินกองทุนเพื่อค้ำประกันเงินฝากให้แก่
ผู้ฝากเงิน
ในช่วงที่เกิด the Great Depression นั้น
ในท้ายที่สุดแล้วอเมริกาก็นำมาตรการค้ำประกันเงินฝากออกมาใช้
โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ
กองทุนหลักประกัน(insurance fund)และการค้ำประกันของภาครัฐ(a federal
guarantee) สัปดาห์แรกที่มีการคิดและถือกำเนิด New Deal ขึ้นมา
องค์กรที่ต่อมาก็ได้กลายเป็นสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(the Federal Deposit
Insurance Corporation : FDIC)นั้นไม่ได้มาจากเงินภาษีประชาชน
แต่การดำเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝากนั้นมีค่าดำเนินการที่มาจากการ
เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสมาชิกของสถาบันคุ้มครองเงิน
ฝาก
อัตราค่าธรรมเนียมที่ธนาคารสมาชิกจะต้องจ่ายให้กับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
นั้นนั่นเองที่สถาบันฯจะจ่ายคืนให้กับธนาคารในกรณีที่ธนาคารถูกปิดกิจการ
เจ้าหน้าที่ของสถาบันคุ้มครองเงินฝากและผู้บริหารสถาบันจะร่วมกันประเมิน
ความเสี่ยง ความมั่นคงในการดำเนินกิจการของธนาคารสมาชิกแต่ละราย
และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากธนาคารล้มละลายหรือถูกควบคุม
ควบรวมกิจการโดยธนาคารที่มีเงินทุนสูงกว่า
สถาบันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันอีก 1 แห่งก็คือ
สถาบันค้ำประกันเงินฝากและเงินกู้(the Federal Savings and Loan Insurance
Corporation : FSLIC)ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1934
เพื่อให้การค้ำประกันเงินฝากและเงินกู้
ทั้ง 2 สถาบันผ่านวันและคืนมาได้อย่างราบรื่น
กาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงทศวรรษที่ 1980
สถาบันการเงินที่รับฝากเงินและปล่อยกู้หลายพันแห่งล้มละลายพร้อมๆกัน
สร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับนายประกันอย่าง FSLIC ในทันที
การล้มละลายของสถาบันการเงินนับพันทำให้ FDIC เข้าเทคโอเวอร์กิจการของ
FSLIC และใส่เงินเพิ่มทุนเข้าไปใหม่ด้วยเงินภาษีของประชาชนจำนวน 153
พันล้านดอลลาร์
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เราได้เห็นภาพของความเป็นจริงที่ว่าภาคการเงิน
การธนาคารนั้นอ่อนไหว
เปราะบางเป็นอย่างมากเมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ
หากรัฐบาลเลือกที่จะทำอีกอย่างหนึ่งคือปล่อยให้ผู้ฝากเงินสูญเสียเงินฝากของ
ตนเองก็ทำได้ แต่รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดภาพความสับสน
โกลาหลจากความแตกตื่นของประชาชนที่แห่กันเข้าคิวถอนเงินออกจากธนาคารอื่นๆ
ที่ยังแข็งแรงอยู่เพราะความตื่นตกใจที่เห็นสถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลาย
จึงเกรงว่าเงินที่ตนฝากไว้จะเบิกถอนไม่ได้
ดังนั้นรัฐบาลจึงเลือกที่จะออกมาส่งสัญญานว่าเงินฝากได้รับการคุ้มครองไม่
ว่าจะฝากเงินไว้กับธนาคารที่ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้หรือจะฝากไว้กับ
ธนาคารที่ล้มละลายไปแล้วก็ตามแต่
แต่การกระทำเช่นนี้
ก็เท่ากับเป็นการปลุกผีที่น่ากลัวตัวอื่นให้ตื่นขึ้นมา
อันเนื่องมาจากการใส่เม็ดเงินลงไปเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน
เมื่อรัฐบาลส่งสัญญานว่าจะรัฐบาลพร้อมที่จะกระโดดเข้ามาอุ้มช่วยสถาบันการ
เงินครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตก็จะต้องมีความจำเป็นครั้งที่ 2, 3,
4,… เกิดขึ้นตามมาอีกอย่างแน่นอน
ผู้จัดการธนาคารจึงไม่ต้องกังวลกลัวเกรงว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความโกรธแค้น
ของผู้ฝากเงิน
และผู้ฝากเงินก็อุ่นใจได้เลยว่าเงินทองที่ตนเองฝากไว้กับธนาคารจะไม่ละลาย
หายวับไปกับการล้มละลายของธนาคารอย่างแน่นอน ตราบใดที่ FDIC
ยังคงค้ำประกันเงินฝากให้กับธนาคารสมาชิกอยู่
เงินฝากในบัญชีธนาคารปลอดภัยแน่นอน เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
สถาบันคุ้มครองเงินฝากก็จะออกมาประกาศย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผู้ฝากเงิน
มั่นใจได้ว่าเงินฝากได้รับการคุ้มครอง
“ผู้ฝากเงินยังคงเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่
จงเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอเมริกัน”
การ
ค้ำประกันเงินฝากนั้นกลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของผู้คนขึ้นมาอีก
ครั้งในช่วงปี ค.ศ. 2008 – 2009 ก่อนเกิดวิกฤิต FDIC
คุ้มครองเงินฝากในบัญชีธนาคารสูงถึงบัญชีละ 100,000 ดอลลาร์
ประเทศอื่นๆก็ดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกันต่างกันแค่เพดานเงินฝากที่
ได้รับการคุ้มครองเท่านั้นเอง
และการคุ้มครองเงินฝากก็ไม่ได้คุ้มครองทุกบัญชี
มีการจำกัดวงเงินสูงสุดเอาไว้ด้วย
ดังนั้นจึงมีบัญชีเงินฝากอีกเป็นจำนวนมากที่มีเงินฝากในบัญชีสูงกว่าวงเงิน
ที่ได้รับการคุ้มครอง สำหรับสหรัฐอเมริกาแล้วเงินฝากมากกว่าร้อยละ 40
อยู่ในภาวะล่อแหลมสุ่มเสี่ยง
ไม่ได้รับการคุ้มครองจากการปิดกิจการไม่ว่าจะเป็นของธนาคารต่างชาติ IndyMac
และ Washington Mutual
และด้วยภัยคุกคามที่มาจาก
ภาคส่วนอันเปราะบางนี้นั่นเองที่ทำให้เกิดการออกมาประกาศคุ้มครองเงินฝาก
เพิ่มเติมรอบใหม่ในเดือนกันยายน 2008
เพื่อเพิ่มวงเงินคุ้มครองเงินฝากทุกบัญชีใน 6 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในอเมริกา
FDIC จึงต้องออกมาขยับเพดานการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 แสนดอลลาร์
2 วันต่อมาเยอรมันก็ออกมาประกาศคุ้มครองเงินฝากในธนาคารทุกบัญชี
วันต่อมาก็เป็นคิวของสวีเดนบ้างโดยขยายวงเงินที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น
เป็น 5 แสนโครนาหรือประมาณ 7.5 หมื่นดอลลาร์
หลังจากนั้นก็เป็นการประกาศของสหราชอาณาจักรเพิ่มวงเงินที่ได้รับการคุ้ม
ครองเป็น 5 หมื่นปอนด์
สัปดาห์ต่อมาอิตาลีก็ออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมให้ภาคธนาคารของประเทศล้มโดด
เด็ดขาด
ผู้ฝากเงินมั่นใจได้เลยว่าเงินฝากในบัญชีธนาคารจะไม่สูญหายไปไหนอย่างแน่นอน
เดือนต่อมาสวิสเซอร์แลนด์ก็เพิ่มเพดานการคุ้มครองเงินฝาก
และประเทศอื่นๆก็ทำในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน
การ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เปรียบเหมือนกับการแข่งขันกันระหว่างชาติต่างๆใน
การใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือออกมาตอบโต้กันว่าใครจะใช้ออกได้อย่างรวดเร็วกว่า
กัน
เมื่อไอร์แลนด์ออกมาประกาศคุ้มครองเงินฝากก็เท่ากับเป็นการบีบบังคับประเทศ
อื่นให้ต้องทำในแบบเดียวกันด้วย
อย่างน้อยๆก็ต้องขยับเพดานบนให้เพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลที่อธิบายได้ง่ายๆว่าถ้า
ไม่ทำเช่นนั้นแล้วเงินทุน
เงินฝากก็จะไหลออกจากประเทศที่จำกัดการคุ้มครองเงินฝากไปยังอีกประเทศหนึ่ง
ที่สามารถฝากเงินไว้ได้อย่างอุ่นใจมากกว่า
ดังนั้นภาครัฐจึงไม่อาจทนนิ่งดูดายให้เกิดเหตุการณ์เงินทุน-เงินออมไหลออก
นอกประเทศได้
แนวทางอื่นๆเกี่ยวกับเงินฝากนั้นมาจาก
โครงการให้หลักประกันซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ในสหรัฐอเมริกา
สำนักงานบริหารเครดิตยูเนียนแห่งชาติ(the National Credit Union
Administration : NCUA)
องค์กรที่ให้ความคุ้มครองแบบเดียวกันกับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
แต่เป็นผู้ดูแลในส่วนของเครดิตยูเนียน ได้ควบรวมธุรกิจสมาชิก 2
แห่งเข้าด้วยกันคือ U.S. Central และ WesCorp จากนั้น็ออกมาค้ำประกัน
คุ้มครองเงินฝากที่มีอยู่ทั้งหมด 8
หมื่นล้านดอลลาร์ครอบคลุมเงินฝากของเครดิตยูเนียนทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา
การ คุ้มครองเงินฝากพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ธนาคารหลายแห่งในสหรัฐและยุโรปกู้ยืมเงินเอาไว้มากมายมหาศาลผ่านการออกหุ้น
กู้ที่ไม่มีหลักประกันและหนี้ในส่วนนี้นี่เองที่จะกลายเป็นชนวนปัญหาให้เกิด
วิกฤติทางการเงินเมื่อวิกฤติดำเนินไปถึงจุดสูงสุด
และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะ roll over เงินกู้/หนี้สินก้อนนี้ออกไปได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส
และเมื่อเราไม่สามารถ renew หนี้เหล่านี้ได้
ธนาคารก็จะพังทลายลงไปเพราะหนี้สูญเหล่านั้น
จากนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังบัญชีเงินฝากของธนาคาร
สหภาพยุโรปจึงออกมาค้ำประกันหุ้นกู้ของภาคธนาคารในเดือนตุลาคม 2008
เดือนเดียวกับกับที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐออกหลักเกณฑ์การค้ำประกัน
และการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารและธนาคารลูกมูลค่า 1.5
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลักประกันทั้งหมดที่ภาครัฐออก
มาค้ำประกันก็คือป้ายราคาที่บ่งบอกให้เรารู้ว่าราคาของการค้ำประกันที่รัฐจะ
ต้องจ่ายเพื่อคุ้มครองเงินฝาก เงินกู้นั้นมีมูลค่า มีราคาเท่าไหร่ ไตรมาส
3/2009
ฐานะของเงินกองทุนของสถาบันคุ้มครองเงินฝากถูกปรับลดความน่าเชื่อถือมาอยู่
ในเชิงลบ
นี่คือภาระที่ผู้เสียภาษีต้องร่วมกันแบกรับไว้บนบ่าอย่างที่ไม่อาจหลีก
เลี่ยงได้จากการออกมาแสดงบทบาทเป็นผู้ค้ำประกันของรัฐบาล
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่ล่วงรู้ถึงเหตุเภทภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในรูปของ
วิกฤติเงินออมและเงินกู้ซึ่งวิกฤติที่จะเกิดขึ้นนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายๆกับ
ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการต่างๆที่ออกมาก่อนหน้า
นี้แล้วทำให้เกิดวิกฤติตามมา
รวมถึงข้อผูกมัดต่างๆที่ไม่เคยมีมาก่อนที่จะสร้างภาระให้กับผู้เสียภาษีอีก
เช่นเคย
การให้เงินช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินก้อน
ใหญ่เริ่มต้นขึ้นที่ แฟนนี่ เม (Fannie Mae) และ เฟรดดี้ แมค(Freddie Mac) 2
ผู้ประกอบการธุรกิจรับจดจำนองยักษ์ใหญ่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล
กระทรวงการคลังสหรัฐต้องออกมาค้ำประกันเป็นเงินสูงถึง 4
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และควบรวม 2 กิจการของรัฐเข้าด้วยกันเพราะเหตุจำเป็น
หายนะได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่าหนี้สินของทั้ง 2
กิจการนั้นได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวน “full faith and credit”
เพียง
แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเองเราก็จะได้เห็นกันว่าต้นทุนทางการคลังที่แท้จริงจาก
การเข้าไปอุ้มแฟนนี่เมและเฟรดดี้
แมคนั้นรวมเสร็จสรรพแล้วทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ การแปรสภาพ 2
กิจการเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลนั้น มีพันธะ
ภาระที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอยู่ประมาณ 5
ล้านล้านดอลลาร์ในการค้ำประกันทางการเงินแก่ทั้ง 2 บริษัท
และมีหนี้สินอื่นๆอีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่ทั้ง 2 กิจการปล่อยออกมา
ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมารองรับเม็ดเงินมหาศาล
เหล่านี้เลบ
แต่หากราคาบ้านยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้จำนองบ้านทิ้งจำนอง
ไม่ส่งเงินต่อ รัฐบาลก็จะต้องรับภาระความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเองทั้งหมด
รัฐบาล
ก็พยายามที่จะประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัยให้เดินต่อไปได้อยู่เหมือนกัน
ด้วยการออกกฎหมายที่ชื่อว่า กฎหมายว่าด้วยที่อยู่อาศัยและการพื้นฟูเศรษฐกิจ
(the Housing and Economic Recovery
Act)ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาไปในเดือนกรกฎาคม 2008 มูลค่า 3.2
แสนล้านดอลลาร์
เพื่อช่วยเหลือเจ้าของบ้านพักอาศัยที่ประสบปัญหาให้ได้รับการรีไฟแนนซ์สัญญา
จำนองบ้านภายใต้การค้ำประกันของคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ(the Federal
Housing Administration)
แม้ว่าโปรแกรมฟื้นฟูที่ริเริ่มดำเนินการขึ้นมานี้จะมีการจัดสรรเงินที่ผิด
พลาด ล้มเหลวอยู่บ้างก็ตาม ประธานาธิบดีบารัค
โอบามาประกาศเคาะตัวเลขวงเงินออกมา 7.5
หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อใช้สำหรับแผนการป้องกันการทิ้งจำนอง
โปรแกรมต่างๆก็ยังคงดำเนินการต่อไป
และแน่นอนว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือภาระที่ผู้เสียภาษีจะต้องแบกรับเอาไว้
อีกเช่นเดียวกัน
เงินช่วยเหลือก้อนใหญ่ที่สุดนั้นคือ
เม็ดเงินที่นำมาใช้สำหรับให้ความช่วยเหลือและค้ำประกันในส่วนที่เรียกว่า
โปรแกรมฟื้นฟูสินทรัพย์เสี่ยง (the trouble Asset Relief Program : TARP)
ซึ่งสภาคองเกรสได้อนุมัติให้มีการจัดสรรเงินงบประมาณจำนวน 7
แสนล้านดอลลาร์เพื่อนำมาใช้ซื้อสินทรัพย์ที่เป็นหนี้เสีย
แทนที่รัฐบาลจะนำเงินก้อนนี้ไปช่วยเหลือเจ้าของบ้านที่กำลังเดือดร้อนต้อง
การความช่วยเหลือจากภาครัฐ
และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปใช้เพื่ออุ้มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเจนเนอรัล
มอเตอร์สและไครส์เลอร์ เบ็ดเสร็จแล้วอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เงินช่วยเหลือไปถึง
8 หมื่นล้านดอลลาร์ เงินบางส่วนก็นำไปใช้ในการปล่อยกู้
ส่วนที่เหลือรัฐบาลก็นำไปใช้ในการซื้อหุ้น
เข้าไปเป็นเจ้าของกิจการร่วมกับเจ้าของกิจการเดิม
ร่วมเดิมพันครั้งใหญ่กับบริษัทที่กำลังร่อแร่ปางตายว่าจะฟื้นกลับคืนมา
ประกอบธุรกิจได้ดังเดิมหรือไม่
โชคไม่ดีอีกเช่นกัน ที่บริษัทรถยนต์เหล่านี้เองก็พึ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของภาวะวิกฤติเท่า นั้นเอง เงินกองทุนของ TARP ประมาณ 3.4 แสนล้านดอลลาร์ถูกนำไปใช้สำหรับให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินเกือบ 700 แห่ง บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซิตี้กรุ๊ป แบงค์ออฟอเมริกา และเอไอจี รวมถึงธนาคารขนาดเล็กอื่นๆ เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปเพื่อการอัดฉีดเงินทุนที่น่าฉงนสงสัยซึ่งรัฐบาลจ่ายไป เพื่อแลกกับการเป็นผู้ร่วมถือหุ้นบางส่วนในธนาคารที่ได้รับเงินช่วยเหลือ
หุ้นที่ได้มาจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปนี้คือเดิมพันครั้งใหญ่ของรัฐบาลว่า ธนาคารที่กำลังประสบปัญหาเหล่านั้นจะฟื้นคืนกลับมาได้หรือไม่ รัฐบาลจะได้รับเงินปันผลตอบแทนคืนกลับมามากน้อยแค่ไหน สิ่งต่างๆเหล่านี้คือการใช้จ่ายของภาครัฐที่ยังคงดำเนินต่อไปซึ่งสะท้อนให้ เห็นถึงเม็ดเงินจำนวนเยอะแยะมากมายมหาศาลที่รัฐนำมาใช้ในฐานะที่เป็นส่วน หนึ่งของนโยบายการคลังรูปแบบใหม่ๆในทิศทางที่ผิดแผกแตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ
ที่มา http://seksanpantu.wordpress.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น