การลงทุนปีงู 2556
การลงทุนปีงู 2556
การลงทุนปีงู
ที่มา http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=39522&p=290956
ปี 2555 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถือได้ว่า
เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งสำหรับนักลงทุน เพราะการลงทุนในสินทรัพย์แทบทุกประเภท
ได้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี ซึ่งถือเป็น Benchmark
ของการลงทุนทั้งนั้น
อย่างการลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ให้ผลตอบแทนประมาณ 4%
ขณะที่ทองคำ สร้างผลตอบแทน 5-10% เมื่อคิดเป็นเงินบาท
(กรณีไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน) จะให้ผลตอบแทนราว 5%
แต่หากคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ
(กรณีมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน) ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเป็น
10%
ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (คิดรวมทั้งราคาหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้น และเงินปันผล)
และหุ้น จะได้ผลตอบแทนสูงเกิน 20%
อย่างไรก็ตาม การที่บรรยากาศการลงทุนช่วง 1-2 เดือนล่าสุด ไม่ค่อยสดใส
เพราะมีปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลายเรื่อง
ทั้งผลกระทบที่อาจเกิดจากการลดการก่อหนี้ (Deleverage) ภาคครัวเรือน
ภาคการเงิน และภาครัฐ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets)
และความไม่แน่นอนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market)
ที่จะประคับประคองเศรษฐกิจ โดยอาศัยการอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ
รวมถึงผลักดันการค้าขายระหว่างกันมากขึ้นทำให้เกิดคำถามตามมาว่าปี 2556
ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนอีกหรือไม่
อะไรคือปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนปีงู
หากสรุปปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
บรรดานักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์หุ้น รวมถึงผู้จัดการกองทุน
จะให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
ความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของสหรัฐฯ
ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป
ความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจไทยเอง
โดยความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ที่ปัญหา Fiscal Cliff ที่
กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องลดการขาดดุลการคลังจากระดับ 7% ของ GDP
ในปีนี้ให้เหลือเพียง 4% ของ GDP ในปีหน้า
สร้างข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจจนอาจกดดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจสะดุดตัว
และยิ่งความคิดเห็นของผู้นำสหรัฐฯ กับ ส.ส.เสียงข้างมาก
ที่มาจากพรรครีพับลิกัน มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
โดยฝ่ายหนึ่งต้องการเพิ่มภาษีโดยเฉพาะภาษีคนรวย
แต่อีกฝ่ายต้องการลดค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคม ทำให้เกิดความกังวลกันว่า
บทสรุปของการเจรจาจะออกมาอย่างไร
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการขยายเพดานหนี้สาธารณะในช่วงต้นปี
และท่าทีของสถาบันจัดอันดับเครดิต ทั้ง Moody’s และ Fitch ด้วยว่า
จะมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ให้หลุดจากระดับ “AAA” ไปทั้งหมดหรือไม่ หลังจากที่ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ไปแล้วก่อนหน้านี้
ส่วน ความเสี่ยงของเศรษฐกิจยุโรป อยู่ที่แนวโน้มเศรษฐกิจมีแนวโน้มถดถอย หรือติดลบอีกอย่างน้อย 1-2 ปี
สร้างความกังวลใจเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ตามมาเป็นระยะๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลี
สเปนในปีหน้า ขณะที่กรีซ
ยังคงมีภาระหนี้ที่ทยอยครบกำหนดแทบทุกไตรมาสเป็นจำนวนไม่น้อย
สำหรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน อยู่ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนยังไม่มีความชัดเจนมาก
พอที่จะทำให้เชื่อมั่นได้ว่า เศรษฐกิจชะลอตัวแบบ Soft Landing
ซึ่งก็ต้องรอดูความชัดเจนหลังการส่งต่อการเปลี่ยนผู้นำแล้วเสร็จลงไปในเดือน
มีนาคม
ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย อยู่ที่การอุปโภคและบริโภค รวมถึงการลงทุนในประเทศ และการใช้จ่ายของภาครัฐ
จะมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ดีเพียงไร
และจะมีปัญหาการเมืองบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเหมือนที่เกิดขึ้นใน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่
มั่นใจการลงทุนปีงู ยังสดใส
แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า แต่ผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน
นักวิเคราะห์หุ้น รวมถึงผู้จัดการกองทุนหลายสำนัก กลับลงเอยว่าปี 2556 น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนอีกปีหนึ่ง
โดยปัญหา Fiscal Cliff มีการคาดหมายกันว่า ทั้ง 2 พรรคการเมืองน่าจะประนีประนอมกันได้ ทำ
ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องลดงบประมาณอย่างเร่งด่วนเกินไป
จนกดดันให้เศรษฐกิจถดถอย และยิ่ง FED ได้ประกาศ QEIII
ซึ่งเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างไม่มีกำหนดอายุ
เพื่อเข้าซื้อตราสารหนี้ประเภทที่มีสินเชื่อบ้านค้ำ (Mortgage Backed
Securities) เดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีหน้าจะขยายตัวได้ในระดับ 1.5-2.0%
ส่วนยุโรป แม้ว่าจะแก้ไขหนี้ไม่ได้ทันทีและเศรษฐกิจจะถดถอย แต่คาดว่า
เยอรมนี และฝรั่งเศส รวมทั้งประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่
จะหาทางช่วยเหลือประเทศอย่างกรีซ โปรตุเกส สเปน และอาจรวมถึงอิตาลี
ให้สามารถออกพันธบัตรรัฐบาลมาต่ออายุพันธบัตรรุ่นเก่าที่ทยอยหมดอายุได้
โดยมีต้นทุนทางการเงินไม่สูงนัก
ขณะเดียวกันธนาคารกลางยุโรปยังเตรียมพร้อมที่จะกำกับดูแลสถาบันการเงินใน
ยุโรปให้มีสภาพคล่องเพียงพอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนควบคู่กันไป
สำหรับการเปลี่ยนผู้นำของจีน น่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะเอเชีย
เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ทำให้ประเมินได้ว่า เศรษฐกิจจีนปีหน้า น่าจะเติบโตในระดับ 7.0-8.0%
ขณะที่เศรษฐกิจไทย หากไม่มีปัญหาการเมือง สามารถมั่นใจได้ว่า จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับ 4.0-5.0% เพราะ
มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
และลดแรงกดดันค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป
หนุนด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 23% เหลือ 20%
ผสมผสานไปกับการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อลงทุนระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน
และกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า
ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการค้าและการลงทุนอีกทางหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุด การที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มยืนประคองตัวระดับต่ำต่อไป
ประกอบกับธนาคารกลางทั่วโลก ยังต้องใช้มาตรการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจโลก
ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกยังคงมีปริมาณที่สูง
และเป็นปัจจัยบวกต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์
แนวคิดจัดพอร์ตและกลยุทธ์ลงทุนรับปีงู
เพื่อช่วยให้การลงทุนสอดรับกับสถานการณ์ ซีอีโอจากหลายกองทุน เช่น โชติกา
สวนานนท์ ค่ายไทยพาณิชย์ (SCBAM) สมชัย บุญนำศิริ ของกรุงไทย (KTAM)
และธีรนาถ รุจิเมธาภาส จากทิสโก้ (TISCO-ASSET) แนะนำคล้ายๆ กันว่า
ควรกระจายเงินลงทุน 30% ออกไปในหุ้น ตราสารหนี้
และตลาดเงิน (Money Market) อย่างละเท่าๆ กัน แล้วแบ่งเงินที่เหลือ 10%
ลงทุนในทองคำหรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์
แต่หากนักลงทุนรายใดชอบความท้าทายในตลาดหุ้น
อาจเพิ่มน้ำหนักหุ้นแล้วลดน้ำหนักตราสารหนี้แทนได้
ด้านสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) บอกว่า ให้แบ่งเงินเป็น 4 ส่วน
ส่วนแรก 35% นำไปลงทุนตราสารหนี้
(ในจำนวนนี้อาจกระจายความเสี่ยงด้วยกองทุนในประเทศ 15%
ที่เหลือลงทุนต่างประเทศ) ส่วนที่สองนำเงิน 30% ลงทุนหุ้น
(ให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศไม่เกิน 10%) ส่วนที่สาม 10% ลงทุนทองคำ
และส่วนสุดท้าย 25% ถือเป็นเงินสด หรือพักไว้ใน Money Market
เพื่อรอจังหวะลงทุน
“เพราะเศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแอ ไม่ว่าจะมี Fiscal Cliff หรือไม่ก็ตาม ทำให้ upside ในการลงทุนมีค่อนข้างจำกัด ดังนั้น การจัดพอร์ตลงทุนควรให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นมากกว่าการหาผลตอบแทน
เราจึง Underweight สินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท ยกเว้นทองคำที่ยัง
Overweight เช่นเดียวกับ Money Market
แต่เนื่องจากการลงทุนในประเทศให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร
จึงต้องลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม
นักลงทุนที่ไม่ชอบเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ให้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศแทน” หนุ่มกอล์ฟ ชี้แจง
เขายังยกตัวอย่างกองทุนรวมที่มีความโดดเด่นอีกด้วยว่า หากคัดเลือกกองทุนตลาดเงิน จะ
พบว่ามี 3 กองทุนที่น่าสนใจคือ กองทุนเปิดฟินันซ่าเพิ่มทุนทรัพย์ (FAM VF)
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารรัฐ ตลาดเงินพลัส (SCB TMFPLUS)
และกองทุนเปิดฟิลลิปบริหารเงิน (PCASH) ของ บลจ.ฟิลลิปเอง
สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ มี 2 ทางเลือก ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต โกลบอลบอนด์ ฟันด์ (T-Global bond) กับกองทุนเปิดทหารไทย โกลบอลบอนด์ ฟันด์ (TMB Global bond)
ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศ จะมีกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV)
กองทุนเปิดอเบอร์ดีนสมอลแค็พ (ABSM) และกองทุนเปิดธนชาติ โลว์เบต้า (T-Low
Beta) เป็น กองต้นแบบ
ส่วนนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนหุ้นมากเป็นพิเศษ
มีคำแนะนำจากนักวิเคราะห์มากฝีมือ คุณวราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ค่าย บล.
เคทีซีมิโก้ (KTZ) ว่า ควรแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น 2 ส่วน
คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ
กับหุ้นที่มีศักยภาพการทำกำไรตามวัฎจักรธุรกิจ
ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าควรจะเป็น อย่างหุ้น BCP BTS INTUCH KBANK SIRI
และ UEC
“KBANK
เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคารและคาดว่าราคาหุ้นยังปรับตัวดีกว่ากลุ่มระยะยาว
เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันระยะยาวที่ดีกว่า
และแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรและ ROE ที่สดใส คล้ายกับ SIRI
ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงผลของการลงทุนในตราสินค้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เพิ่มมูลค่าแฟรนไชส์ในปัจจุบัน
และยิ่งบริษัททำสำเนาโมเดลความสำเร็จทางธุรกิจออกไปในตลาดต่างจังหวัด
หลังประสบความสำเร็จในตลาดอาคารชุดระดับกลางถึงล่างในกรุงเทพฯ
ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า จะมีกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น
ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้เป็นต้นไป” สาวจอย สรุปประเด็น
สำหรับ BCP แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่มั่นคง และชัดเจน
แม้กระทั่งในช่วงค่าการกลั่นเป็นขาลง นอกจากนั้น
ยังจะได้ประโยชน์จากแนวคิดในการสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ต่อยอดธุรกิจในอนาคต
หลังปี 2559 เพิ่มเข้ามาอีก ยิ่งกว่านั้น ราคาหุ้นยังแกว่งตัวในระดับต่ำ
โดยมีส่วนลดจากหุ้นในภูมิภาคค่อนข้างมาก (BCP ซื้อขายที่ PER และ PBV 6.8
เท่า และ 1.0 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 9.7 เท่า และ 1.2
เท่าตามลำดับ) ดังนั้น BCP
จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนที่สุดในกลุ่มโรงกลั่น
ขณะที่ UEC น่าสนใจตรงโมเนตัมงานในมือเติบโตตามวงจรขาขึ้นทางธุรกิจ
และแนวโน้มการได้งานในประเทศเพิ่ม รวมทั้ง ศักยภาพงานในเมียนมาร์
ทำให้เรามีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้นต่อแนวโน้มกำไรของ UEC โดยคาดโตเฉลี่ย 28%
ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า (54-57) และให้ปันผลตอบแทนสูง 6% สำหรับปี 55
(คาดปันผล 0.13 บาท สำหรับ 2H55 ให้ปันผลตอบแทน 3.6%) และจะเพิ่มเป็น 8%
สำหรับปี 56 ราคาหุ้นถูกในเชิงประเมินมูลค่า มี PER ปี 56 เพียง 8 เท่า
(เทียบกับ PER ตลาด MAI 22 เท่า) รวมทั้งมี Upside ถึง 46%
จากมูลค่าพื้นฐาน 5.34 บาท (PER 12.5 เท่าของกำไรปี 56)
“เราปรับประมาณการกำไรของ INTUCH ปีนี้ และปีหน้าเพิ่มขึ้น
เพื่อให้สะท้อนประมาณการกำไรใหม่ของ THCOM และ ADVANCE
ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่เป็น 81 บาท ซึ่งยังมีส่วนต่างจากราคาหุ้นในกระดาน 30%
และหากคิดรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตรา 8.5% จึงแนะนำซื้อ เช่นเดียวกับ
BTS ซึ่งกำไรในครึ่งแรกปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งจากธุรกิจหลัก
การลงทุนในบริษัทย่อย
นอกจากนี้การเดินหน้าจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายงานใน
อนาคต จะช่วยให้สามารถรับรู้รายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
โดยให้ราคาเหมาะสม 7.30 บาท” นักวิเคราะห์สาวจาก KTZ ทิ้งท้าย
ได้กรอบคิด และแนวทางปฏิบัติสำหรับการลงทุนปี 2556 กันแล้ว หวังว่า
จะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ถูกใจนักลงทุนทุกสไตล์ และอย่าลืมซื้อกองทุน LTF-RMF
ส่งท้ายปี 2555
เพื่อเอาสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาเพิ่มค่าเงินในกระเป๋ากันด้วยนะคะ
...เมอร์รี่ คริสต์มาส และแฮปปี้ นิวเยียร์ค่ะ..
ที่มา : วารสาร Money & Wealth ฉบับเดือน ธันวาคม 2555
ขอบคุณ : Maruey Knowledge and Resource Center
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น