ที่มา http://www.doctorwe.com/posttoday/20130122/4298
คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย
12 เหตุผล ที่ควร “ซื้อเก็บ..ทองคำ” ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.facebook.com/doctorweraphong
คุณผู้อ่านครับ เราได้คุยกันถึงเรื่อง “เหตุผลที่ควร..ซื้อเก็บทองคำ” ไปแล้ว 6 ข้อ วันนี้ผมจะขอเล่าต่อถึงเหตุผลดังกล่าวอีก 6 ข้อที่เหลือ ดังนี้ครับ
เจ็ด “ตลาด..เกิดใหม่” จะใหญ่ขึ้น และ..ใหญ่ขึ้น
EMERGING MARKET หรือตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักจะหมายถึง บรรดาประเทศที่เพิ่งจะมีเศรษฐกิจดีขึ้น ตัวอย่างเช่น กลุ่ม BRIC นั่น คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน นอกจากนั้นยังรวมถึงบรรดาประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเอเชียและลาตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ในบรรดาประเทศเหล่านี้ คุณผู้อ่านคิดว่าประเทศไหนซื้อทองคำ..มากที่สุดในโลก? ใช่แล้วครับ..ประเทศอินเดีย ซื้อทองคำมากที่สุดในโลก และแนวโน้มจากนี้ไป เมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังจะหันทิศทางไปสู่ตะวันออก เศรษฐกิจของบรรดาประเทศเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นอีกมาก และสิ่งที่จะตามมาก็คือ พลังการซื้อทองคำก็จะเพิ่มขึ้น..เป็นทวีคูณ
แปด บทบาทของบรรดา “ธนาคารกลาง” ของประเทศเกิดใหม่
คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบว่าประเทศ 3 อันดับแรก ที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกคือ จีน ญี่ปุ่น และซาอุดิอาราเบียตามลำดับ โดยถือเงินตราต่างประเทศและทองคำสูงถึง 3.2 ล้านล้าน 1.2 ล้านล้าน และ 0.6 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับ โดยประเภทของทุนสำรองที่ถือมากที่สุดก็คือ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา นั่นเอง
แต่แนวโน้มระยะยาวจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลง บรรดาประเทศเหล่านี้ก็จะมีแนวโน้มที่จะขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกาออกไป และคุณผู้อ่านคิดว่าประเทศเหล่านี้ซื้อ..อะไร กลับเข้ามาแทนบ้าง? ประเทศเหล่านี้จะซื้อ..ทองคำเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? แล้วราคาทองคำ..จะขึ้น หรือ..จะลง?
เก้า รูปแบบการซื้อและเก็บทองคำทาง “อิเลคทรอนิคส์”
สมัยก่อน ถ้าเราคิดจะซื้อทอง เราก็คงต้องไปร้านทอง..ซื้อทอง..และนำทองมาเก็บไว้ที่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากและเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินและ “ผู้ซื้อ” เป็นอย่างมาก
แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ในบ้านเรา ทุกวันนี้มีกองทุนที่ลงทุนในทองคำกันอย่างมากมาย เวลาที่เราซื้อกองทุนเหล่านี้ก็มีขั้นตอนที่ง่ายและปลอดภัย ด้วยความง่าย ความสะดวก และความปลอดภัย..จากการซื้อขายทองคำผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ นี่เอง ก็ทำให้การซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จึงทำให้กองทุน SPDR ที่ซื้อขายทองคำมากที่สุดในโลก ในปัจจุบันได้ติดอันดับท็อปเท็นของผู้ถือทองคำมากที่สุดในโลกไปแล้ว โดย SPDR ยังถือครองทองคำมากกว่าประเทศใหญ่ๆอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรืออังกฤษเสียอีก
สิบ “ทองคำ” ได้กลายเป็น “สินทรัพย์..เพื่อการลงทุน” ไปแล้ว
ในช่วงกว่า 70 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่สหรัฐอเมริกาชนะสงครามโลกครั้งที่สอง ทุกประเทศก็มักจะพยายามถือ “พันธบัตรสหรัฐอเมริกา” เพราะ เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง..น้อยที่สุด แต่ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานับวันก็จะยิ่ง…เสื่อมคลายมนต์ขลังลง เหลือไว้แต่เพียง “หนี้สาธารณะ..และหนี้ประชาชน” ก้อนมหึมา
จึงอาจกล่าวได้ว่าจากนี้ไปอย่างน้อยอีก 10 ปี พญาอินทรีคงจะต้องปลีกวิเวกออกจากการลงทุนขนาดใหญ่ๆของโลก ดังนั้น “ทองคำ” ก็จะเข้ามามีบทบาทเป็นสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอของกองทุนต่างๆ รวมทั้งบุคคลธรรมดาๆอย่างคุณผู้อ่านและตัวผมเองมากขึ้น..และมากขึ้น
สิบเอ็ด “ความเหนียวแน่น” ในการถือครองทองคำ
ในอดีต คุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่าบรรดาญาติมิตรที่เป็นผู้ใหญ่ มักจะถือทองคำกันยาวนานมาก ในปัจจุบันความคิดดังกล่าวก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้คนทั่วโลก แนวคิดการถือครองทองคำในระยะยาวหรือตราบชั่วชีวิต ยังมีแพร่หลายในประชาชนทุกหมู่เหล่าเกือบทั่วโลก โดยเฉพาะหลายประเทศในแถบเอเชียที่มองว่า ควรจะเก็บทองคำไว้เพื่อมอบเป็น “มรดก” ให้แก่ลูกหลาน
เมื่อทองคำถูกเก็บออกไปจากตลาดเรื่อยๆ ทองคำที่ซื้อขายหมุนเวียนกันอยู่ในท้องตลาด จึงมีแนวโน้มที่จะลดลง..และลดลง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำในระยะยาวมีโอกาสสูงขึ้น
สิบสอง ปริมาณการผลิต ไล่ไม่ทัน..ปริมาณความต้องการ
จากการผลิตทองคำที่ผ่านมา พบว่า การค้นพบเหมืองแร่ทองคำใหม่ๆที่สามารถจะสร้างผลผลิตจำนวนมหาศาลได้นั้น มักจะกินเวลาประมาณ 5-10 ปี แต่ขณะที่ความต้องการทองคำของตลาดโลกนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างที่ได้คุยกันไปแล้วว่า อินเดียและจีนเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ที่บริโภคทองคำกันมากที่สุดในโลก ขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศยังต้องผจญกับภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ถ้าหากเหตุการณ์ดังกล่าวจบลง และเศรษฐกิจดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ทองคำที่เวลานี้ประมาณบาทละ 25,000 บาท ราคาจะพุ่งไปอยู่ที่เท่าไร?
มีการคาดการณ์เบื้องต้นว่า หากทุกอย่างราบรื่นตามที่กล่าวไปแล้ว ราคาทองคำน่าจะไปอยู่ที่ 3,000 หรือ 4,000 หรือ 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ตอนนี้อยู่ประมาณ 1,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ นั่น หมายความว่า ราคาทองคำ จากในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 25,000 บาทต่อทองคำหนักหนึ่งบาท ก็จะกลายเป็นทองคำหนักหนึ่งบาท ราคาก็ควรเป็น 40,000 หรือ 50,000 หรือ 60,000 บาท ซึ่งมันจะ..เป็นไปได้ จริงหรือ?
หากลองย้อนกลับไปอ่าน “ประวัติ…ราคาทองคำ” (อ่านได้ที่ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2554 หรือดูได้ที่ http://www.doctorwe.com/posttoday/20111215/220 ) เราก็จะพบว่า ภายใน 40 ปี ราคาทองคำขึ้นมา 50 เท่าแล้ว
ดังนั้น เราจึงควรใช้ความเพียรในการศึกษาหาความรู้ว่า “ทำไมราคาทองคำ..ถึงขึ้นมาก
อย่างนั้น?” เพื่อจะได้ไม่เจ็บใจเมื่อราคาทองคำ..มันขึ้นไปอีกแล้ว แต่ “ฉันเองยังไม่ได้ซื้อ..ซักบาทเลย” โชคดีนะครับ : )
ข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นโดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น